“วิรัตน์” สก.มีนบุรี จวก “วิโรจน์” สส.ก้าวไกล พูดเลื่อนลอย กล่าวหาพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมให้มีบุคคลภายนอกพิจารณา งบประมาณ กทม. 2568 เชื่อ ทุกคนทำงานรอบคอบรัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคน กทม. มากที่สุด
วันที่ 29 กรกฎาคม 2567 นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตมีนบุรี และอดีตประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X (ทวิตเตอร์) กล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยไม่ยอมให้มีบุคคลภายนอกเป็นคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ทั้งยังกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยลดจำนวนอนุกรรมการน้อยลงและมีผลทำให้เกิดการฮั้วได้ง่ายนั้น นายวิรัตน์ ชี้แจงเป็น 9 ข้อ ดังนี้
1. เรื่องนี้เป็นคำกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและไร้ความรับผิดชอบต่อการทำงานหนักของสภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.) เป็นอย่างมาก เพราะยังไม่มี สก., สมาชิกของพรรคเพื่อไทย หรือผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทยที่ นายวิโรจน์ กล่าวอ้าง มีมติอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้
2. สก. คือตัวแทนของประชาชนชาว กทม. ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนในระดับเขต รู้ลึกถึงความต้องการของพี่น้องประชาชนในแต่ละเขตเป็นอย่างดีว่าต้องการอะไร ขาดเหลือสิ่งใด และต้องการงบประมาณสนับสนุนในส่วนใดได้บ้าง
3. สก. มีหน้าที่กลั่นกรองและลำดับความสำคัญความต้องการของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ความต้องการของคนใดคนหนึ่ง หรือความเห็นของคนใดคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ ซึ่งความเห็นนั้นสามารถกระทบต่อความต้องการของประชาชนเขตอื่นๆ และอาจขัดแย้งกับความเห็นของ สก.เขตนั้นๆ เองด้วย
...
4. การพิจารณางบประมาณของ กทม. เป็นการนำปัญหาของประชาชนมาพิจารณาเพื่อแก้ไขให้ตรงจุด ยังไม่มีตัวเงินออกมา การที่ นายวิโรจน์ กล่าวหาว่าฮั้วนั้น ไม่เพียงการลดทอนการทำงานของ สก.พรรคอื่น ยังลดทอนการทำงานของ สก.พรรคก้าวไกลด้วย
5. การนำบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมให้ความเห็น เป็นกลไกที่สามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี ที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลเองเคยแต่งตั้งบุคคลภายนอกร่วมพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง รถโดยสารประจำทางพลังงานไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ ในท้ายที่สุดคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยว่า กทม.ไม่มีอำนาจในการออกข้อบัญญัติดังกล่าว จนปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้ยังไม่สำเร็จ
6. เมื่อครั้งที่ตนเป็นประธานสภา กทม. ในสมัยที่ผ่านมา พบว่าบุคคลภายนอกที่ไม่รู้ลึกถึงความต้องการของประชาชนในแต่ละเขตดีเพียงพอ มีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้งในระหว่างการพิจารณากฎหมาย และส่งผลให้บางนโยบายไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนในแต่ละเขต ทั้งที่มีความเห็นจาก สก.ตัวแทนเขตอยู่แล้ว
7. ในอดีตมีสมาชิกสภาเขตมาร่วมพิจารณาร่างงบประมาณ กทม. แต่ปัจจุบันที่ไม่มี จึงมีการปรับปรุงให้มีกรรมการสามัญประจำสภา กทม. ที่ผ่านการฝึกฝน และผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เชี่ยวชาญมาแล้ว
8. กรณีที่ นายวิโรจน์ กล่าวอ้างว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กทม. เห็นด้วยที่จะมีบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นกรรมการพิจารณางบประมาณ กทม.นั้น เป็นความเห็นของฝ่ายบริหาร กทม. ส่วนสภา กทม. เปรียบเสมือนฝ่ายนิติบัญญัติ มีหน้าที่พิจารณา ถกเถียง หาจุดสมดุลของกฎหมาย การยกความเห็นของผู้ว่าฯ กทม. มาสนับสนุนแนวคิดของตน ย่อมเท่ากับว่า นายวิโรจน์ มองข้ามกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นฝ่ายตรวจสอบถ่วงดุลหรือไม่
9. กระบวนการตรวจสอบการใช้งบประมาณ หลังงบฯ ผ่าน คือผู้ว่าฯ กทม. และกระบวนการตรวจสอบของกรมบัญชีกลาง ทุกอย่างมีกลไกอยู่แล้ว
นายวิรัตน์ ยังระบุในตอนท้ายด้วยว่า “หน้าที่ สก. มีระบุอยู่ในบทบัญญัติชัดเจนว่า หัวใจสำคัญของ สก. คือกระบวนการพิจารณางบประมาณ ผมเชื่อว่า สก. และกรรมการวิสามัญทุกคน ทำงานอย่างรอบคอบรัดกุม ตามขั้นตอน ไม่สร้างปัญหาระหว่างทาง สิ่งนี้น่าจะเกิดประโยชน์กับชาว กทม. มากที่สุด”