ในที่สุด รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็สามารถประกาศช่วงเวลานาทีทองของการจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท จาก กระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ ดิจิทัล วอลเล็ต ให้แก่คนไทยได้สำเร็จ 

หลังต้องเลื่อนการจ่ายเงินจริงๆ มาหลายเพลา เพราะมีกลุ่มบุคคลหลายฝ่ายแสดงการคัดค้าน และไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการแจกเงินแก่ประชาชนทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันก็เห็นว่า เงินที่ต้องนำมาใช้ มีจำนวนมากเกินไปจนน่าจะกระทบกับการพัฒนาประเทศที่ควรจะทำในด้านต่างๆ

ที่เป็นปัญหาถกเถียงกันมากก็คือ ไม่มีใครเห็นด้วยกับรัฐบาลว่า เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติ เพราะ GDP ขยายตัวต่ำตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 

แม้แต่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมองเห็นโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างทะลุปรุโปร่งว่า บัดนี้เศรษฐกิจไทยตกอยู่ในสภาวะ เตี้ยลง สาละวัน ขนาดไหน... แต่พวกเขาก็ยังไม่เห็นด้วย

เมื่อได้แก้ไขจุดบกพร่อง และช่องโหว่ที่อาจทำให้เงินแผ่นดินรั่วไหลได้สำเร็จ ที่สุดกระทรวงการคลังโดย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ เผ่าภูมิ โรจนสกุล สองรัฐมนตรีช่วยจากกระทรวงการคลัง ซึ่งยอมแก้ไขข้อท้วงติงต่างๆ ให้ครบถ้วนกระบวนความ จึงออกมาแถลงเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า กระทรวงการคลังพร้อมจะเริ่มจ่ายเงินให้แก่พ่อแม่พี่น้องได้ในไตรมาสที่ 4 หรือ ตั้งแต่เดือน พ.ย.-ธ.ค. 2567

อย่างไรก็ตาม จำนวนเงิน และจำนวนคน จำต้องลดลงจากที่คาดว่า จะสามารถเติมเงินได้ราว 500,000-550,000 ล้านบาทให้แก่คนไทยทั่วประเทศ 50-55 ล้านคน 

เอาเข้าจริง รัฐบาลสามารถหาเงินจากงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินปี 2567 และ 2568 ได้เพียง 450,000 ล้านบาท ส่วนจำนวนคนเข้าร่วมโครงการก็ลดลง สิริรวมเหลือ 45 ล้านคน 

...

คุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเงิน 10,000 บาท

สำหรับคุณสมบัติของคนทั้ง 45 ล้านคน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงถ้อยความใดๆ แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจน ขอทบทวนให้อ่านกันอีกครั้งคือ 

. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน

. มีสัญชาติไทย

. มีอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน 

. เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 โดยกรมสรรพากรประมวลผลข้อมูล 7 วันก่อนเปิดลงทะเบียน

. ไม่เป็นผู้มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกินกว่า 500,000 บาท โดยจะตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่ เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก ใบรับเงินฝาก และผลิตภัณฑ์เงินฝากในชื่อเรียกอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้หมายถึงในรูปเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมเงินฝากในบัญชีร่วม โดยได้มีการตรวจสอบสิทธิไว้ตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 2567

. ไม่เป็นผู้ต้องโทษจำคุกในเรือนจำ

. ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิ หรือ ถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ และโครงการอื่นๆ ของรัฐ

. ไม่เป็นผู้ที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ และโครงการอื่นๆ ของรัฐ

จำแนกกลุ่มคนเพื่อลงทะเบียน “ทางรัฐ”

กำหนดการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” มีดังนี้

. ประชาชนทั่วไปที่มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ได้ทันที หรือ อย่างเป็นทางการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย. 2567 ทั้งนี้ ไม่จำกัดจำนวนประชาชนที่ใช้สิทธิ ซึ่งอาจจะมี 45-50 ล้านคน (สำรวจจากที่ได้มีการลงทะเบียนไว้ก่อนหน้า)

. ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เช่น เป็นผู้สูงอายุติดเตียง ช่วยตัวเองไม่ได้ และผู้พิการ สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรประจำตัวประชาชน โดยการซื้อขายทุกครั้งต้องมีการบันทึกภาพของผู้นำบัตรประชาชนไปใช้ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเจ้าของบัตรจริง ซึ่งจัดว่า ยังมีข้อจำกัดการใช้เงินอยู่พอสมควร แต่จะมีรายละเอียดนำเสนออีกครั้ง

. ส่วนร้านค้า เปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป

ใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทได้ที่ใดบ้าง

กระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านร้านค้า ได้แก่ 

. นิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกระทรวงพาณิชย์ 910,000 ร้านค้า

. ร้านธงฟ้า 198,000 ร้านค้า

. ร้านค้าโชห่วย หาบเร่ แผงลอย ตลาดนัด ซึ่งต้องขึ้นทะเบียนกับองค์กรปกครอง

  ส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย คาดว่า 400,000 ร้านค้า

. กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ 93,000 ร้านค้า

. ห้างค้าส่ง ค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทย 50,000 ร้าน

. ร้านค้าในเครือข่าย และ ในห้างสรรพสินค้า ซึ่งขึ้นทะเบียนกับสมาคมค้าปลีกไทย 500,000 ร้านค้า

ซื้ออะไรได้-ไม่ได้...ดูหน่อย

ในเงื่อนไขการใช้จ่ายเงิน ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็ก และร้านสะดวกซื้อได้เท่านั้น ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศ หรือระดับท้องถิ่น และต้องซื้อสินค้าในอำเภอ ตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน

ร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้ ไม่มีกำหนดเงื่อนไขว่าต้องซื้อแบบซึ่งหน้า จะซื้อขายด้วยกันได้แม้อยู่ต่างพื้นที่ และประเภทสินค้า

สินค้าทุกประเภท สามารถเข้าร่วมโครงการได้ยกเว้น สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชา และกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชรพลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ เครื่องมือสื่อสาร 

ว่าแต่การใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ยังไม่รวมถึงภาคบริการ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ น่าจะต้องมีการปรับปรุงให้เหมาะสมอีกครั้ง

จดหมายจากผู้ว่าฯ ธปท. 

ห่วงระบบการชำระเงินวุ่น

สำหรับระบบการชำระเงินที่จะทำผ่านการเติมเงินในระบบ ดิจิทัลวอลเล็ต ที่หยั่งรากลงลึกไปถึงประชาชนจำนวนมาก และร้านค้าย่อยทั่วประเทศนั้น 

ล่าสุด ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ ธปท.ได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีความว่า...

กระทรวงการคลังต้องแจ้งให้ ธปท.ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนเริ่มให้บริการ เพราะการเชื่อมต่อระบบการชำระเงิน กับ โมบายแอปพลิเคชัน เป็นการ เปลี่ยนแปลงระบบ IT อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกระทบลูกค้า และการให้บริการเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อระบบเติมเงินต้องเชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์ และ Non-Bank 

ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงเรื่องการตรวจสอบสิทธิ การยืนยันตัวตน การป้องกันความเสี่ยงจากการสวมรอย รวมถึงการอนุมัติรายการชำระเงิน บันทึกบัญชี และ Update ยอดเงิน เมื่อมีการใช้จ่าย หรือ ถอนเงินออกจาก Digital Wallet 

ทั้งนี้ ระบบการเติมเงินที่มอบหมายให้กระทรวงดีอีรับผิดชอบ จะต้องสามารถรองรับการตรวจสอบ หากเกิดปัญหาการชำระเงินไม่สำเร็จ หรือ เกิดข้อผิดพลาดขึ้นจะสามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว

จริงๆ จดหมายฉบับนี้ น่าจะส่งมาถึงรัฐบาล และกระทรวงการคลังก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ถึงกระนั้น กระทรวงการคลังในฐานะเจ้าของเรื่อง กับ ธปท.ควรจะเร่งหารือกันโดยเร็วพลัน 

อย่าให้เกิดปัญหาระบบล่มเลย เพราะมันอาจหมายถึง การล่มสลายหายไปของรัฐบาลเป็นสำคัญด้วย!!