กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ยกระดับภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย มุ่งฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง “ฉลองวันป่าชายเลนโลก ปี 67”
วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสวันสากลเพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศป่าชายเลน (International Day for The Conservation of the Mangrove Ecosystem) หรือ วันป่าชายเลนโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี ตนในฐานะผู้นำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ได้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน เนื่องจากปัจจุบันป่าชายเลนทั่วโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามมากมาย จากการขยายพื้นที่เกษตรกรรม การก่อสร้าง มลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิถีชีวิตของผู้คน ในโอกาสนี้ อยากเชิญชวนทุกภาคส่วน
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งความร่วมมือ ร่วมใจปกปักรักษา ฟื้นฟูป่าชายเลน มรดกโลกอันล้ำค่าของเรา ด้วยพลังแห่งความร่วมมือเราจะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับป่าชายเลนและโลกของเรา
...
ซึ่งในปีนี้กระทรวง ทส. โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้จัดงานวันป่าชายเลนโลก (International Day for the Conservation of the Mangrove Ecosystem) และประกาศความร่วมมือภาคีเครือข่ายป่าชายเลน ประเทศไทย "Thailand Mangrove Alliance" ประจำปี พ.ศ. 2567 ตนได้มอบหมายให้ ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานในพิธี
โดยมี ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายชิดชนก สุขมงคล รองอธิบดี
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัด ทส. และ ทช. รวมถึงองค์กรภาคีภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
โดยกระทรวง ทส. ได้ผลักดันภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทยให้ได้รับความเชื่อถือ และยอมรับทั้งในประเทศและในระดับสากล การรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมถือว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการขับเคลื่อนการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลนและระบบนิเวศชายฝั่งรวมไปถึงความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน ด้วยหลักการอนุรักษ์ฟื้นฟูแบบยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ คือ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติเศรษฐกิจ
"ในการนี้ ตนได้กำชับให้กรม ทช.ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้มุ่งเน้นด้านการอนุรักษ์และปกป้องทรัพยากรป่าชายเลนของประเทศไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กรม ทช. เป็นศูนย์กลางในการผนึกกำลังทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้ร่วมกันอนุรักษ์ฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนให้คงความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนต่อไป" พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าว"
ดร.ปิ่นสักก์ กล่าวว่า เมื่อวันป่าชายเลนแห่งชาติที่ผ่านมา กรมฯ ได้จับมือองค์กรภาคีภาคเอกชน จำนวน 33 องค์กร จัดทำบันทึกความร่วมมือ MOU เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปกป้องทรัพยากรป่าชายเลน ซึ่งมีการขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทย (Thailand Mangrove Alliance) ที่มุ่งเน้นสร้างความร่วมมือ ส่งเสริมความรู้ สนับสนุนการอนุรักษ์ ขับเคลื่อนการวิจัย และสร้างเครือข่ายทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค ท้องถิ่นและระดับสากลให้ครอบคลุมในทุกมิติ และในวันนี้ กรม ทช. ได้จับมือร่วมกับอีก 14 องค์กรโดยภาคีเครือข่ายป่าชายเลนประเทศไทยและสมาชิกให้พันธสัญญาที่จะร่วมมือกันยกระดับการอนุรักษ์ป่าชายเลนและระบบนิเวศชายฝั่งรวมไปถึงความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อรับมือกับสภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ ทั้งนี้ ตนได้ดำเนินตามข้อสั่งการของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งเน้นและผลักดันในเรื่องการพัฒนานโยบาย เครื่องมือ ระบบ ฐานข้อมูล ระบบกลไกทางเศรษฐศาสตร์ ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชนเพื่อให้ได้รับการยอมรับทั้งจากภายในประเทศและในระดับสากล
โดยกรมฯ และภาคีเครือข่ายฯ มีเป้าหมายที่จะร่วมกันฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่าชายเลนในประเทศไทยอย่างน้อย 30% หรือ 500,000 ไร่ภายในปี พ.ศ. 2574 และจะขยายการฟื้นฟูพื้นที่จนครบ 100% ภายใน ปี พ.ศ. 2593 อีกด้วยปัจจุบันโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต สำหรับบุคคลภายนอก ประจำปี พ.ศ. 2565-2566 มีจำนวน 35 ราย เนื้อที่ 54,394.39 ไร่ และโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต สำหรับชุมชน ประจำปี พ.ศ. 2566 จำนวน 94 ชุมชน
เนื้อที่ 156,177.15 ไร่ โดยโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ของกรม ทช. ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แล้ว จำนวน 10 โครงการ รวม 5,195.04 ไร่ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะกักเก็บได้ 27,346 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นางวาสนา จันทร์ทอง ประธานป่าชายเลนชุมชนบ้านโคกพยอม จังหวัดสตูล กล่าวว่า การดำเนินงานของภาคีเครือข่าย ทำให้ป่าชายเลนบริเวณโดยรอบเกิดความอุดมสมบูรณ์ ทั้งแหล่งอาหารของมนุษย์ และแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำนานาชนิด นอกจากนี้ภาคีเครือข่ายยังสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาและสร้างประโยชน์จากป่าชายเลน พร้อมทั้งเข้ามาสนับสนุนทำให้เกิดเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สามารถให้กลุ่มบุคคลทั่วไปหรือนักเรียนนักศึกษาที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบการดูแลรักษาป่าชายเลนให้กับชุมชนใกล้เคียง ภายหลังป่าชายเลนกลับมามีความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านได้มีอาชีพในเรื่องของการจับสัตว์น้ำได้มากขึ้นทำให้ชาวบ้านภายในชุมชนสามารถสร้างอาชีพ และมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย