ดีเดย์วันชี้ชะตาอนาคตสภาสูง กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ส่ง “นันทนา” ชิงเก้าอี้ประธานวาง “แล ดิลกรัตน์-อังคณา นีละไพจิตร” ชิงรองประธานฯคนที่ 1-2 “ประภาส” ให้สังคม-สื่อช่วยกันจับตา วางเกมยาวแก้ไข รธน.-อาจช่วงปลายสมัย สว.ชุดนี้ ไลน์ทูเดย์โพล “เศรษฐา” พุ่งขึ้นอันดับ 1 “พิธา” มาที่ 2 เซอร์ไพรส์ “เฉลิมชัย” ติดโผที่ 3 สส.พท.ได้ทีโอ่ เพราะประชาชนยอมรับผลงานรัฐบาล “สรวงศ์” หยอดหวานไม่อยากเสีย “น้าเหลิม” คนสำคัญ “วิสุทธิ์” ฟุ้งไม่มีไหลออกอีกมีแต่คนจะเข้า “ไชยา” ค้านด้วยปุ๋ยคนละครึ่งมัดมือชก เผยตัวเต็งหัวหน้า ก.ก.คนใหม่ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็น สส.ปัจจุบัน โพลชี้ปัญหายากจน-หนี้สิน-ว่างงานรุนแรง

ตามที่มีกำหนดนัดประชุมวุฒิสภา วันที่ 23 ก.ค. เพื่อเลือกตำแหน่งประธานวุฒิสภาและรองประธานฯ อีก 2 ตำแหน่ง ล่าสุด กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่มีความชัดเจนแล้วจะเสนอชื่อ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ลงชิงประธานวุฒิสภา ส่งนายแล ดิลกวิทยรัตน์ และนางอังคณา นีละไพจิตร ลงชิงรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1-2

สว.พันธุ์ใหม่ส่ง “นันทนา” ชิง ปธ.

เมื่อวันที่ 21 ก.ค. นายประภาส ปิ่นตบแต่ง สว. กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ กล่าวถึงการประชุมวุฒิสภาวันที่ 23 ก.ค. เพื่อเลือกตำแหน่งประธานและรองประธานวุฒิสภาว่า กลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่มีความชัดเจนแล้วจะเสนอชื่อ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ลงชิงประธานวุฒิสภา นายแล ดิลกวิทยรัตน์ สว. ชิงรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และนางอังคณา นีละไพจิตร สว. ชิงรองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 และตามข้อบังคับการประชุมแต่ละคนต้องแสดงวิสัยทัศน์เชื่อว่า น.ส.นันทนาจะแสดงวิสัยทัศน์ในเชิงบวกว่าคุณสมบัติคนเป็นประธานวุฒิสภาควรเป็นอย่างไร แต่จะได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเพื่อน สว.จะมีความเห็นอย่างไร หลังจากฟังการแสดงวิสัยทัศน์ทั้ง 3 คนแล้ว เชื่อว่าคงประนีประนอมกับกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน คาดว่าการประชุมวันที่ 23 ก.ค.จะราบรื่นไม่มีอะไร ถ้าไม่ให้ สว.พันธุ์ใหม่สักตำแหน่ง เชื่อว่าสังคมและสื่อมวลชนคงช่วยกันตรวจสอบว่าคนที่มีคุณสมบัติดีแล้วไม่เลือก คนยกมือสนับสนุนก็ต้องรับฟังเสียงสังคม คิดว่าสังคมเคลื่อนไปแบบนี้จะไปพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินครั้งเดียวคงไม่เป็นอย่างนั้น

...

ชงแก้ รธน.-เลือก สว.ปลายสมัย

ผู้สื่อข่าวถามว่าการแบ่งกลุ่มแบ่งก๊วนจะเป็นอุปสรรคการทำงานของ สว.หรือไม่ นายประภาสตอบว่า ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญคงยาก เพราะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 คือ 67 คน แต่คิดว่ามีหลายมาตราน่าจะต้องแก้ไข ถ้าต้องการปฏิรูปใหม่ต้องตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ต้องยอมเสียเวลา ยอมรับว่ายากอยู่แต่คิดว่าคงแก้ไขบางมาตราที่เป็นปัญหาจริงๆ รวมถึงการเลือก สว.ที่ผ่านมา น่าจะทบทวนใหม่ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้ให้ทำงานกันไปก่อน อาจเป็นช่วงปลายสมัย สว.ชุดนี้

สีน้ำเงินเคาะแล้ว “มงคล” ปธ.วุฒิ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อีกด้านมีความเคลื่อนไหวของ สว.สายสีน้ำเงิน ที่เป็นกลุ่ม สว.ที่มีสัดส่วนมากที่สุด 150 คน จากจำนวน สว.ทั้งหมด 200 คน ได้ประชุมร่วมกันเตรียมความพร้อมเรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ สว. และเตรียมการประชุมวุฒิสภานัดแรก ในวันที่ 23 ก.ค. โดยกำชับให้ สว.ในกลุ่มทุกคนเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับมีมติเสนอชื่อนายมงคล สุระสัจจะ สว. อดีตอธิบดีกรมการปกครอง สายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ขึ้นเป็นประธานวุฒิสภา ส่วน พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ สว. เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายบุญส่ง น้อยโสภณ สว. อดีต กกต. เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1-2

นายกฯทำบุญวัดเทพศิรินทราวาสฯ

วันเดียวกัน เวลา 12.12 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวีตภาพทำบุญถวายผ้าไตรจีวรและสนทนาธรรมสมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสฯ พร้อมข้อความว่า “ทำบุญถวายผ้าไตรจีวร ที่วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหารครับ” ทั้งนี้ ถือเป็นอีก 1 วัด ที่นายเศรษฐาตั้งใจจะทำบุญให้ครบ 9 วัด เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา หลังเดินทางไปทำบุญมาแล้วที่วัดเครือวัลย์วรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดพระเชตุพนวิมล มังคลาราม (วัดโพธิ์) วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร รวมถึงสักการะศาลหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล

โพลไลน์ “เศรษฐา” พุ่งขึ้นอันดับ 1

ขณะที่แอปพลิเคชัน LINE TODAY เปิดสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองประจำเดือน ก.ค.2567 เปิดให้โหวตตั้งแต่วันที่ 1-20 ก.ค. ห้วข้อ “คุณคิดว่าใครมีบทบาท ผลงานโดดเด่น หรือถูกใจคุณที่สุด” ปรากฏผลการสำรวจ 10 อันดับแรก พบว่าผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดอันดับ 1 คือนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ 8,742 คะแนน คิดเป็น 40.13% ตามมาอันดับ 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ 7,425 คะแนน คิดเป็น 34.09% นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 1,966 คะแนน คิดเป็น 9.03% น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล 7,425 คะแนน คิดเป็น 34.09% นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 479 คะแนน คิดเป็น 2.2% นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค 471 คะแนน คิดเป็น 2.16% น.ส.จิราพร สินธุไพร 204 คะแนน คิดเป็น 0.94% นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ 191 คะแนน คิดเป็น 0.88% นายชวน หลีกภัย 190 คะแนน คิดเป็น 0.87% และนายรังสิมันต์ โรม 182 คะแนน คิดเป็น 0.84%

พท.โอ่เป็นเพราะผลงานรัฐบาล

น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ผลสำรวจโดย LINE TODAY มีผู้ตอบแบบสอบถามผ่านการยืนยันตัวตนไม่น้อยกว่า 2.1 หมื่นคน นายเศรษฐาได้รับคะแนนมากที่สุดถึง 8,742 คะแนน ตามด้วยอันดับ 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 7,425 คะแนน สะท้อนว่าประชาชนเห็นและสัมผัสได้ถึงผลลัพธ์จากความมุ่งมั่นในการทำงานของรัฐบาล ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลนำพาประเทศพ้นภาวะสุญญากาศหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลไม่หยุดอยู่เท่านี้ แต่ต้องต่อยอดความสำเร็จต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่เตรียมเปิดลงทะเบียนวันที่ 1 ส.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทั้งระบบต่อไป โพลนี้มีผู้ตอบจำนวนมากและผ่านการยืนยันตัวตน คือกระจกสะท้อนหัวใจประชาชนที่ยอมรับผลงานรัฐบาลตั้งแต่ยังไม่ครบปีแรก และพร้อมสนับสนุนนายเศรษฐาถือธงนำประเทศ ดำเนินนโยบายต่อไปให้สำเร็จ ในฐานะนักการเมืองที่ 1 ในใจคนไทยในขณะนี้

ไม่อยากเสีย “น้าเหลิม” คนสำคัญ

ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ต้องการย้ายไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า การจะขับใครออกจากพรรคต้องมีกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรม ไม่ใช่อยู่ๆจะขับใครออกจาก สส.ได้ และการตัดสินใจเป็นเรื่องของคณะกรรมการจริยธรรม ร.ต.อ.เฉลิมยังไม่มีกรณีอะไรเกิดขึ้น และยังไม่มีการตั้งเรื่องอะไรทั้งสิ้น ท่านเป็นบุคลากรสำคัญของพรรค การเสียบุคลากรสำคัญไปไม่ใช่เรื่องที่พรรคประสงค์อยู่แล้ว ส่วนกรณีนายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ที่เตรียมไปสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.สัปดาห์หน้านั้น เราเคารพการตัดสินใจ เมื่อนายวันตัดสินใจเลือกเส้นทางดังกล่าวแล้ว ขอให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือก เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อยากให้แยกเป็นรายบุคคลไป ตอนนี้นายอาชวิน อยู่บำรุง ที่ปรึกษา รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) บุตรชายนายวันยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ควรต้องแยกกันให้ขาด พ่อก็พ่อ ลูกก็ลูก หลานก็หลาน

ไม่มีไหลออกอีกมีแต่คนจะเข้า

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการจริยธรรมพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในพรรค พท.ยังไม่มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นผู้ใหญ่ของพรรค เป็นที่เคารพนับถือ ต้องให้ผู้ใหญ่ในพรรคคุยกัน ไม่น่ามีปัญหา ใครชอบทางไหนก็ไปทางนั้นเป็นระบอบประชาธิปไตย เราไม่ได้โกรธหรือเกลียดกัน การเมืองเดี๋ยวก็อยู่ฝั่งนั้นเดี๋ยวก็อยู่ฝั่งนี้ เป็นเรื่องปกติ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน แต่ความคิดทางการเมืองแตกต่างกันได้ เรายังเคารพนับถือร.ต.อ.เฉลิมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ทางการเมืองก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะไปทางไหน คณะกรรมการจริยธรรมก็ยังไม่ได้เรียกคุย เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะมีสมาชิกพรรคหรือ สส.ในพรรคไหลออกเพิ่มอีก นายวิสุทธิ์ตอบว่า “ไม่มีใครออกไปอีกแล้วมีแต่คนจะเข้ามา แต่ใครจะไปทางไหนก็ขอให้เป็นเรื่องที่สบายใจ”

ฟุ้งสัมพันธ์พรรคร่วมแน่นปึ้ก

นายวิสุทธิ์ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ยังกล่าวถึงกรณีปรากฏภาพของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค พท. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ร่วมร้องเพลงกันที่ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ท่ามกลางกระแสข่าวพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนจะมีปัญหาหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องกัญชาเป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ว่า การไปพบปะกันของหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่นายทักษิณนั้น เป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องดีที่มีการพบปะสังสรรค์กัน ส่วนเรื่องกัญชาอยู่ระหว่างการดูแลของกระทรวงสาธารณสุขยังไม่ได้เข้าสู่สภาฯ ไม่มีอะไรน่ากังวล และคงมีภาพแบบนี้ต่อไป รับประกันว่าความสัมพันธ์ยังแน่นหนาพันเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไร ผู้ใหญ่คุยกันเป็นเรื่องปกติ ยังทำงานด้วยกันได้เกินปกติด้วยซ้ำ การลงมติก็ดีหมดทุกเรื่อง ดูมาตลอดไม่มีใครแตกแถว ไม่มีใครขยับอะไรที่ทำให้เกิดความกังวลใจ

“ไชยา” ค้านปุ๋ยคนละครึ่งมัดมือชก

นายไชยา พรหมา อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกับ สส.อีสานในหลายจังหวัด และเสียงสะท้อนจากพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาในภาคอีสาน ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่งของรัฐบาล ที่อยู่ภายใต้การดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะกังวลในหลายประเด็น เช่น ต้องการให้คงโครงการช่วยเหลือไร่ละ 1 พันบาทไว้ เพราะมีความคล่องตัวมากกว่า โครงการปุ๋ยคนละครึ่งถือเป็นการมัดมือชกเกษตรกร ยังมีข้อกังวลในเรื่องคุณภาพปุ๋ย เพราะมาจากที่กรมการข้าวเป็นผู้คัดเลือกปุ๋ย และเอกชนผู้ขายที่ร่วมโครงการไม่กี่เจ้าได้ประโยชน์ ในฐานะ สส.และเคยเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ มองว่าโครงการนี้ได้รับการต่อต้านจากเกษตกรทั่วประเทศ ไม่เหมือนโครงการชดเชยไร่ละ 1 พันบาท ที่ได้รับเงินโดยตรงนำไปใช้ลดต้นทุนการผลิตอื่นๆ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง มีข้อสังเกตว่าโครงการนี้มีลับลวงพราง มีนายทุนที่ได้ประโยชน์กับโครงการนี้อยู่เบื้องหลัง ต้องจับตาว่ามีผู้ประกอบการรายใดผ่านการคัดเลือก และมีการเอื้อประโยชน์หรือไม่

“นายใหญ่” ออกรอบกับคนรู้ใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์พักผ่อนร่วมกับสมาชิกครอบครัวชินวัตร มาตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. ที่ Rancho Charnvee Resort & Country Club รีสอร์ตของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มีการทานข้าวเย็นร่วมกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม และ สส.นครราชสีมาพรรคเพื่อไทย อาทิ นายโกศล ปัทมะ นายพชร จันทรรวงทอง รวมถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ แกนนำพรรคเพื่อไทย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกฯ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา นอกจากนี้ช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา นายทักษิณยังออกรอบตีกอล์ฟกับนายอนุทิน โดยมีนายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมก๊วนด้วย

“วันชัย” ส่องดวง “นายใหญ่” พุ่งแน่

ด้านนายวันชัย สอนศิริ อดีต สว. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ดวงคุณทักษิณกับราชาโชค” “คุณทักษิณเกิดวันที่ 26 ก.ค.2492 เวลาก่อนเที่ยง ตรงกับวันอังคาร ปีฉลู มีทั้งจันทร์เด่นและจันทร์ดับ มีทั้งคนรักคนเกลียด ตรงกับราศีเมษ มีดาวพฤหัสกุมเกตุเป็นราชาโชค ยังมีอีกหลายดวงดาวที่เกี่ยวพันดวงชะตา หลังจากเดือนเกิดต่อแต่นี้จะมีแต่แข็งและแรงขึ้น ยิ่งอยู่ในฐานราชาโชคมีแต่โชคที่ยิ่งใหญ่ เคยดับอับแสงจะกลับมาสว่างไสวเจิดจ้าเป็นโชคชะตายิ่งใหญ่สุดๆ ได้รับการยกย่อง ชนิดที่คิดและคาดไม่ถึง ขืนปล่อยให้คุณเศรษฐาและพลพรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนเช่นนี้ ไม่มีผลงานโดนใจประชาชน ได้แต่เต้นแร้งเต้นกาไปวันๆ ทั้งเพื่อไทย ทั้งครอบครัว ทั้งคุณทักษิณ จะถูกจันทร์ดับอับแสงไปด้วย จะอยู่ในที่มืดต่อไปคงไม่ได้ จันทร์ต้องออกมาส่องหล้าด้วยตัวคุณทักษิณเอง สถานการณ์นี้คุณทักษิณต้องออกมาขับเคลื่อนให้เห็นเด่นชัดแบบตรงไปตรงมา เพราะดาวพฤหัสและราชาโชคเปิดโอกาสให้แล้ว ไม่ขยับตอนนี้จะไปขยับตอนไหน ดูจากดวงดาวต้องเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร ส่วนจะบริหารจัดการกับอำนาจอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจกันเองให้เกิดความพอดีพอเหมาะ ร่วมมือร่วมใจ รัฐบาลเดินไปได้ คุณทักษิณก็เป็นกำลังเสริมเติมให้เปรี้ยงปร้าง ดาวพฤหัสและราชาโชค มาถูกที่ถูกเวลากับชะตาของเขาอะไรก็รั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่”

ตัวเต็ง หน.ก.ก.คนใหม่ไม่ใกล้ไม่ไกล

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ว่า สำหรับตัวเต็งหัวหน้าพรรค ก.ก.คนใหม่ หากถูกวินิจฉัยยุบพรรคขึ้นมาจริงๆ ยังไม่ใช่ชื่อของ “ดร.” คนหนึ่งดังที่ปรากฏตามหน้าสื่ออยู่ขณะนี้ แม้ว่า ดร.คนดังกล่าวจะหน่วยก้านดี แถมเป็นเพื่อนรักนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ตาม แต่การคัดเลือกผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการโหวตของ สส.พรรคด้วย จากการสอบถามบรรดา สส.พรรค ก.ก.หลายคนตอบตรงกันว่ามีบุคคลในใจแล้ว หากต้องโหวตชื่อหัวหน้าพรรคขึ้นมาจริงๆ และถึงแม้จะไม่ต้องโหวต ก็มีฉันทามติโดยมองเป็นคนเดียวกันหมด โดยบุคคลดังกล่าวเป็น สส.อยู่ในปัจจุบัน

“กาย” ซัดโฆษกรัฐบาลเล่นผิดบท

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สื่อสารผ่าน x ระบุการเรียกปลาหมอคางดำเป็นปลาปิศาจคือ วาทกรรม ทำให้ฟังแล้วให้ภาพเกินจริงว่า เห็นทัศนะแบบนี้รู้สึกสงสารประชาชนผู้เลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง และประมงน้ำจืด ที่ได้รับความเสียหายกันมาเป็นสิบปี วิกฤติขนาดนี้ยังไม่รู้ตัว ขออย่าลอยตัวอยู่ในห้องแอร์ ที่พูดแบบนี้สงสัยจริงๆว่าพูดในฐานะโฆษกรัฐบาล หรือโฆษกของเอกชน จะปกป้องปลาหมอคางดำอะไรขนาดนั้น เป็นความไร้สามัญสำนึกอย่างยิ่ง ตอนนี้วิกฤติเกิดขึ้นแล้ว ต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อน จะได้แก้ปัญหาให้สมกับระดับที่เป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่มองว่ากินได้แล้วจบ และฝ่ายค้านเราเตือนด้วยความห่วงใย ควรฟังคำแนะนำแทนที่จะดื้อดึง มาช่วยกันคิดดีกว่ามีแผนรองรับยังไงและสุดท้ายเรื่องที่ประชาชนอยากรู้มากๆเวลานี้คือ สรุปแล้วใครเพาะพันธุ์ ใครทำหลุดในฐานะโฆษกรัฐบาลตอบให้ประชาชนชื่นใจหน่อย

“เท่าพิภพ” ชงปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่

นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า “ปลดล็อกอุตสาหกรรมผู้ใหญ่ หยุดดัดจริต เปิดสภาถกเถียง ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 ปลดล็อกสื่อผู้ใหญ่ ของเล่นผู้ใหญ่ ยันมีการควบคุมอยู่ ย้ำไม่ได้เสรี ได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไปตั้งแต่สมัยประชุมก่อน เนื่องจากได้รับหนังสือจากกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ และผมได้ทำร่างนำเสนอ ร่างดังกล่าวมีการแก้ไขเพียงมาตรา 287 มาตราเดียว ปัจจุบันห้ามสื่อลามกและของเล่นผู้ใหญ่แบบ Total Ban จึงปรับแก้ไขใหม่ ดังนี้ 1.สื่อชนิดต่างๆให้กระทำได้ แต่ห้ามให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี และต้องไม่มีเนื้อหารุนแรง เช่น ฉากข่มขืน ใช้กำลัง เป็นต้น 2.ปลดล็อกของเล่นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะให้มาตรฐานทางอุตสาหกรรม (มอก.) และองค์การอาหารและยา (อย.) สามารถออกประกาศมาควบคุมมาตรฐานได้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้

ชวนถกเถียงร่างแก้ไขกฎหมาย

นายเท่าพิภพโพสต์อีกว่า พร้อมน้อมรับคำวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องเนื้อหาทางกฎหมายและมุมมองอื่นๆ ส่วนตัวไม่ได้เป็นคนที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากสิ่งที่จะปลดล็อก แต่ในฐานะผู้แทนฯมีหน้าที่ผลักเพดานความคิด และขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้า คิดว่าการนำเสนอประเด็นนี้เป็นการที่ทำให้สังคมไทยได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ร่วมกันหาทางออกประเทศด้วยการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ดัดจริต ผ่านกลไกประชาธิปไตยและกลไกสภา เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะอยากเห็นเหล่าเยาวชนเข้าถึงสื่อลามกง่ายขึ้น แต่อยากยกเรื่องนี้ขึ้นบนดิน เพื่อให้สิ่งนี้อยู่ในแสงสว่าง สามารถพูดถึงได้ วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบได้ตามครรลอง เป็นทั้งประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ ทั้งการบังคับใช้กฎหมายที่สามารถควบคุมเนื้อหาได้ ความปลอดภัยของประชาชน อยากเชิญชวนให้ทุกคนติดตามการพิจารณากฎหมายนี้ที่จะเข้าสภาไม่เกินสัปดาห์ สองสัปดาห์นี้ ฝากแสดงความคิดเห็นถกเถียงกันได้เต็มที่

ชวนบริจาคเลือดเฉลิมพระเกียรติ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี บูรณาการความร่วมมือร่วมกับสภากาชาดไทย และหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จัดทำ “โครงการบริจาคโลหิต 10,000,000 ซีซี เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งเพื่อสนับสนุนปัญหาการขาดแคลนโลหิตสำรองของสภากาชาดไทย สำหรับใช้ในการช่วยเหลือผู้ป่วย เป็นการต่อชีวิตให้ผู้อื่น รวมถึงเสริมสร้างจิตสำนึกสาธารณะในการช่วยเหลือสังคม นายกฯ ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมกันบริจาคโลหิตได้ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงสิ้นเดือน ธ.ค.2567 คาดการณ์ว่าจะสามารถช่วยผู้ป่วยได้ถึง 60,000 ราย โดยเฉพาะในปีมหามงคลนี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ชาวไทยทุกคนสามารถแสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศล

โพลชี้ปัญหายากจน-หนี้สินรุนแรง

ขณะที่สวนดุสิตโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,146 คน เรื่อง “คนไทยกับความยากจน หนี้สิน และการเลิกจ้างงาน” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 78.80 มองว่าปัญหาความยากจน หนี้สิน และการเลิกจ้างงานเป็นปัญหารุนแรง มีถึงร้อยละ 70.07 ที่มีหนี้สินส่วนตัว ส่วนความคิดเห็นต่อการแก้ปัญหาของรัฐบาล ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.02 อยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการเพิ่มโอกาสในการทำงาน/จ้างงาน รองลงมาร้อยละ 67.57 ควรส่งเสริมการฝึกอาชีพ ร้อยละ 66.78 ควรมีระบบประกันสังคมที่เข้มแข็ง สำหรับปัญหาหนี้สิน ร้อยละ 79.16 อยากให้รัฐบาลสนับสนุนการสร้างรายได้ให้กับประชาชน รองลงมาคือลดดอกเบี้ยเงินกู้ ขยายเวลาชำระหนี้ ขณะที่ปัญหาเลิกจ้างงาน ส่วนใหญ่อยากให้ช่วยส่งเสริมการสร้างงานใหม่/ช่วยหางานใหม่ สนับสนุนธุรกิจขนาดย่อม ฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ ทั้งนี้แนวทางที่จะทำให้คนไทย “กินดีอยู่ดีไม่มีหนี้สิน” คือต้องมีงานทำ มีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดี เร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน

กลุ่ม คปท.ดื้อแพ่ง “พักการชุมนุม”

จากกรณีที่ศาลแพ่ง มีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ศูนย์ร่วมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และกองทัพธรรม ที่ปักหลักค้างคืนอยู่ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล ยุติการชุมนุม เนื่องจากสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทั่วไป ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 21 ก.ค. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. แถลงข่าวร่วมกับ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ นายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกฯ ตัวแทนจากสำนักงานเขตดุสิต และกองทัพบก แต่เนื้อหาโดยสรุปนายพิชิตยังคงไม่ใช้คำว่ายุติชุมนุม แต่ใช้แค่คำว่าพักการชุมนุม เพื่อคืนพื้นที่จัดงานมหามงคล จนถึง 12 ส.ค. และไม่พูดถึงคำสั่งศาลแพ่งที่สั่งให้เลิกชุมนุม แต่ยืนยันจะยังเคลื่อนไหวต่อในข้อเรียกร้องกรณีนายทักษิณ ชินวัตร สำหรับเงื่อนไขครั้งต่อไป คือหากมีการเห็นชอบกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย รวมมาตรา 112 จะกลับมาชุมนุมที่เดิม ส่วนกิจกรรมบนเวทีจะสิ้นสุดลงวันที่ 22 ก.ค. เริ่มเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำบิ๊กคลีนนิ่งเพื่อส่งมอบคืนพื้นที่ต่อไป ทั้งนี้กองทัพบกจะส่งชุดทหารช่างพร้อมเครื่องจักรอุปกรณ์หนักมาช่วยเก็บของและรื้อถอน ขณะที่ กทม.เตรียมเครื่องมือทำความสะอาด

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่