การประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันจันทร์ มี นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เป็นประธาน หลังประชุม นายกฯเศรษฐาได้โพสต์ลงโซเชียลว่า พร้อมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิตั้งแต่ 1 สิงหาคม ไม่ต้องคอยเก้อ การประชุมวันนั้น ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ไปประชุมต่างประเทศ ได้ฝากจดหมายไปถึง นายกฯเศรษฐา แสดงความเป็นห่วง “ระบบเติมเงิน” ของรัฐบาล ซึ่งไม่อยู่ใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย มีลักษณะเป็น “ระบบเปิด (open loop)” ที่ต้องเชื่อมโยงกับธนาคาร และ non–bank ในวงกว้าง แบงก์ชาติเป็นห่วงเรื่อง ความมั่นคงปลอดภัยของระบบ กลัวจะถูกคนร้ายสวมรอย รวมทั้ง ระบบป้องกันการขายลดสิทธิ์ (discount) ระหว่างประชาชนกับร้านค้า เพื่อการทุจริต

ระบบเติมเงิน ต้องมี มาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัย (confidentiality & security) ความถูกต้องน่าเชื่อถือ (integrity) และมีเสถียรภาพพร้อมใช้งานได้ต่อเนื่อง (availability) รวมทั้ง มีการบริหารจัดการด้าน IT Governance ตามมาตรฐานสากล

ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ได้ขอให้ นายกฯเศรษฐา พิจารณาตรวจสอบ “ระบบเติมเงิน” ก่อนใช้จริงหลายประเด็น ดังนี้ 1.ระบบลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ของประชาชนและผู้ประกอบการ และการพิสูจน์ยืนยันตัวตน ความปลอดภัยของระบบต้องได้มาตรฐานเทียบเคียงกับบริการในภาคการเงิน สามารถป้องกันความเสี่ยงการถูกสวมรอย หรือ ใช้เป็นช่องทางการทำทุจริตหรือธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้ และมีศักยภาพรองรับการลงทะเบียนพร้อมกันของผู้ใช้งานจำนวนมากได้

2.ระบบตรวจสอบเงื่อนไขและอนุมัติรายการชำระเงิน บันทึกบัญชี และ update ยอดเงิน เมื่อมีการใช้จ่ายหรือถอนเงินออกจาก Digital Wallet ต้องสามารถรองรับการตรวจสอบ หากเกิดปัญหาการชำระเงินไม่สำเร็จหรือเกิดข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว ต้องมีการทดสอบระบบก่อนใช้จริงตามมาตรฐานระบบชำระเงิน ตั้งแต่ตัวระบบ การทำงานร่วมและเชื่อมต่อกับระบบอื่น ไปจนถึงการใช้งานของประชาชนและร้านค้า เพื่อให้มั่นใจว่าระบบทำได้ถูกต้องปลอดภัย และควรมี Call center หรือช่องทางรับแจ้งปัญหาที่รวดเร็วและเพียงพอ

...

3.การดำเนินการในระบบเปิด (open loop) ที่เชื่อมต่อกับภาคธนาคารและ non–bank หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำส่ง พิมพ์เขียวที่แสดง system architecture ของ payment platform ให้ธนาคารและ non-bank โดยเร็วที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมในการพัฒนาและทดสอบการเชื่อมต่อกับระบบ payment platform ใหม่ของรัฐบาลให้ทันตามกำหนด ต้องให้เวลาเพียงพอแก่ธนาคารและ non-bank ในการพัฒนา open loop ตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีก่อนเริ่มใช้งาน และ ต้องแจ้งให้ ธปท.ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ก่อนเริ่มให้บริการ เนื่องจาก การเชื่อมต่อ payment platform ใหม่กับ mobile application เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านระบบ IT อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกระทบต่อลูกค้าและการให้บริการในวงกว้าง

ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยังแสดงความเป็นห่วง ความเสี่ยงต่อการรั่วไหลหรือทุจริตในขั้นตอนต่างๆ เช่น การซื้อขายสินค้าที่ผิดเงื่อนไขของโครงการ การขายลดสิทธิ์ (discount) ระหว่างประชาชนและร้านค้า เป็นต้น

อย่างไรก็ดี คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลัง ได้ชี้แจงแทนนายกฯ ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและความรัดกุมของระบบโครงการ ไม่ว่าระบบการลงทะเบียน ระบบการยืนยันตัวตนเพื่อรับสิทธิ์ รวมทั้งแผนงานที่รัฐบาลกำหนดไว้ก่อนใช้งานจริง และแจ้งให้ ธปท.รับทราบก่อน 15 วัน ไม่มีอะไรต้องกังวล อีกไม่กี่วันก็รู้ครับ “ระบบทางรัฐ” จะพร้อมหรือไม่ เมื่อประชาชน 50 ล้านคนเริ่มลงทะเบียนรับสิทธิ์ตั้งแต่ 1 สิงหาคม วันนั้นระบบจะล่มหรือจะราบรื่น จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ต้องรอเก้อหรือไม่?

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม