ผมอ่านหนังสือเรื่องกัญชาของ นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว มาหลายเล่ม ลอกเอามาเขียนไปแล้วก็หลายเรื่อง ก็แค่อ่านๆเท่านั้น ยังทำท่าจะเมากัญชาตามไปด้วย
วันนี้เจอหนังสือเล่ม ปฏิวัติกัญชาสยาม 2562 (โรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด ธ.ค.2563) ใกล้มือ อ่านไปๆ เจอเรื่อง กัญชากับคนไทยเบิ้ง...กัญชา ยังไม่แน่ใจว่าดีร้าย ไทยเบิ้ง เผ่านี้จากไหน?
คนไทยเบิ้ง ไม่ใช่ลาวเป็นเชื้อสายไทย นุ่งโจงกระเบน พูด กู–มึง เมื่อพูดลงท้ายคำสนทนาว่าบ้าง เขาใช้คำว่า เบิ้ง จึงถูกเรียกว่า ไทยเบิ้ง
มีงานวิจัยสันนิษฐาน ไทยเบิ้งกลุ่มนี้ เป็นไทยภาคกลางแถบอยุธยา อพยพหนีพม่าเข้าไปอยู่ป่าลพบุรี ช่วงกรุงแตกเมื่อ พ.ศ.2310 ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมป่าเขาเขตพัฒนานิคม ตอนนี้หลายหมู่บ้านจมลงอยู่ก้นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไปแล้ว
คนไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง ชื่อสุข เกิดสลุง ตอนนิพัทธ์พรสัมภาษณ์ อายุ 73 ขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชำนาญการปลูกการใช้กัญชา หัวเราะขำๆ “ของมันผิดกฎหมาย แต่ก่อนเราอยู่กันในป่าในดง ใครๆก็ใช้”
ลุงสุขเล่า ชาวบ้านโคกสลุงเมื่อก่อน ปลูกกัญชาไว้สูบกับไว้ทำยา กัญชาเข้ายารักษาโรคผอมแห้ง ช่วยให้กินข้าวได้ ใส่กัญชาแน่นอน อร่อยสุด กินจุ ชอบกินของหวาน เอากะหลี่ (ดอก) มันสูบ เอาใบใส่เครื่องแกง
“ตอนหนุ่ม ผมสูบกัญชากับบ้อง เขียงหั่นผมใช้ไม้พญามือเหล็ก หั่นแล้วขูดขุยไม้ใส่ปนกะหลี่ ช่วยกัดเสลดดี ทำให้เสียงใส พวกนักร้อง ลิเกชอบนัก แต่ก่อนคนลิเก ดูดกัญชาทั้งนั้น ดูดแล้วใจเย็น ยิ้มตาหวานฉ่ำ แม่ยกติด”
แม้ออกตัว “ผมแก่แล้ว ไม่ได้ยุ่งกับกัญชาอีกแล้ว” แต่ลุงก็ยังพอมีวิชาที่พอจะแบ่งปันกันฟัง
“เวลาหั่นกะหลี่กัญชาได้ละเอียดดีแล้ว เราจะเอา “บัวผัน” ไปจิ้ม ให้กะหลี่เต็มบัวผัน แล้วเอาไปเสียบที่บ้อง บ้องใส่น้ำไว้ สูบดังคร่อกๆ” เล่าถึงตอนนี้ นิพัทธ์พรงง บัวเผื่อนบัวผันมาเกี่ยวกับกัญชาได้ไง?
...
“รู้จักบัวผันไหม?” ลุงถามเองแล้วตอบเอง บัวผันน่ะเราใช้เสียบกับบ้องกัญชา ทำจากไม้แก่น เอามาเหลาให้กลม ยาวสัก 1 นิ้ว กว้าง 1 เซนฯ เจาะรูกลวงทะลุ
ใช้บัวผันจิ้มกัญชาหั่นสำเร็จ พอลองสูบพรวดๆปรี๊ดๆได้ ลมผ่านทะลุได้นั้น น่ะแน่นอน ต้องใช้บัวผันจิ้มกะหลี่หั่นฝอย ไม่เอามือหยิบนะ เพราะนิ้วมือสกปรก สูบเข้าปอดเข้าปาก ของสกปรกเข้าไปมันอันตราย ฟั่นเฟือนได้
เอาบัวผันจิ้มเสียบบ้องกัญชานั้นน่ะ พอดูสูบ สูบสบาย คนสูบกัญชาต้องทำทุกอย่างให้สะอาด
ลุงสุขเล่าต่อ เวลาทำงาน อย่างจะไปย่ำควาย ไปไล่ราวสัตว์ในป่าลุงไม่สูบกัญชา แต่เพื่อนเขยเป็นลาวสกลนครเขาสูบ เขาหั่นกะหลี่สำเร็จเตรียมไว้ ใส่ถุงติดตัว มีบ้องพร้อม เอาไปวางพิงคันนา
หรือเวลาเอาวัวไปเลี้ยวริมป่าใกล้ภูเขา เอากะหลี่หั่นสำเร็จผสมยาเส้น สูบบ้อง สูบพันลำ นั่งสูบรอไป วัวฝูงหนึ่งราว 70-80 ตัว ปล่อยกันกินหญ้า เราก็สูบกัญชาคอยมันไป สบายทั้งคนสบายทั้งวัว
นี่เป็นลีลาคอกัญชาอาชีพ ลุงสุขเล่าว่า ถ้าคนไม่เป็นกัญชาเอากะหลี่ที่มียางเหนียวจับหนึบ หั่นสำเร็จสูบแค่บัวผันเดียว ปรี๊ดเดียว ก็หงายหลังผลึ่ง เซ่อไปตรงนั้น หลงตรอก หลงทาง กลับบ้านไม่ถูกไปเลย
ลุงก็หัวร่อฮ่าๆๆ เล่าถึงตอนนี้ คนฟังซึ่งติดตามสัมภาษณ์คอกัญชามาหลายที่หลายถิ่น ก็พลอยขำกลิ้งตาม นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว สรุปเรื่องนี้ ไม่ว่ากัญชาปลูกที่บ้านเมืองไหน ก็ออกฤทธิ์ให้คนหัวทิ่มหัวตำได้แน่นอน เหมือนๆกัน
มาถึงวันนี้ นิพัทธ์พรเอง ก็ดูจะยิ่งรู้ดีไปอีก ฤทธิ์กัญชานั้นแรงนักหนา ทำเอาพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคร่วมรัฐบาลเมาเข้าใส่กัน
พรรคหนึ่งเอาออกจากการเป็นยาเสพติดได้ไม่นาน อีกพรรคก็เปลี่ยนให้เอาเข้า
นี่ถ้าอิทธิฤทธิ์กัญชาแรงขนาดเปลี่ยนนายกฯ จากคุณเศรษฐา เป็นคุณอนุทินได้
ผมจะขอแรงนิพัทธ์พร ช่วยไปถามลุงสุข ที่โคกสลุงให้อีกสักที ตอนสูบกัญชา คนสองพรรคนั้น เขาสูบกัญชาสกปรก โดยไม่รู้จักใช้ “บัวผัน” กันบ้างหรืออย่างไร?
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม