ศาลรัฐธรรมนูญนัด 7 ส.ค. ชี้ชะตาคดียุบพรรคก้าวไกล ชี้คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย พยานหลักฐานเพียงพอวินิจฉัย ไม่เปิดไต่สวนเพิ่มตามที่ ก.ก.ร้องขอ “ชัยธวัช” บ่นเสียดาย แต่เบาใจศาลฯผนวกคำร้องคู่กรณีเข้าไปในสำนวน มั่นใจข้อต่อสู้มีน้ำหนักหักล้างคำร้องชงยุบพรรคไม่ชอบด้วยกฎหมาย แย้มปริศนา “ตอนหลังเขาบอกน่าจะไม่ยุบแล้วมั้ง” สภาฯให้ความเห็นชอบวาระแรกงบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท ทำดิจิทัลวอลเล็ต “ศิริกัญญา” ฉะรัฐบาลลากประเทศไปเสี่ยงวิกฤติการคลัง แลกรักษาหน้าทำตามที่หาเสียงไว้ ทำผิด พ.ร.บ.วินัยการคลังฯมาตรา 21 โยกงบกลางไปใช้ข้ามปี แถประหลาดแจกเงินหมื่นเป็นงบลงทุน เหน็บทุ่ม 5 แสนล้าน ได้คืน 3 แสนล้าน คุ้มหรือไม่ “จุรินทร์” สับกู้เงินชดเชย 1.12 แสนล้าน มาแจก โยนภาระให้ลูกหลาน นายกฯ ยันจำเป็นตั้งงบเพิ่ม กระตุ้นเศรษฐกิจ โอ่การเงินประเทศยังแข็งแกร่ง

จากกรณีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ยื่นคำร้องเพิ่มเติม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญเปิดการไต่สวน พร้อมเรียกเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรค ก.ก. โดยศาลได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค. โดยไม่มีการไต่สวนเพิ่มเติม เนื่องจากคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยแล้ว

...

ศาล รธน.พิจารณาคดียุบพรรค ก.ก.

เมื่อเวลา 11.24 น. วันที่ 17 ก.ค. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่เอกสารข่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาปรึกษาหารือในคดีที่ กกต. โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567

นัด 7 ส.ค. ชี้ชะตาไม่เปิดไต่สวนเพิ่ม

โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง หากคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ ข้อ 24 ภายในวันที่ 24 ก.ค.67 ส่วนคำร้องที่คู่กรณียื่น ให้รับรวมไว้ในสำนวนคดีเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อไปและศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 7 ส.ค. เวลา 09.30น.นัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป

“ต๋อม” พอใจคำร้องไปอยู่ในสำนวน

เมื่อเวลา 14.00 น. ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ก.ก. ให้สัมภาษณ์หลังจากศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรค ก.ก. ในวันที่ 7 ส.ค. โดยไม่ได้เปิดการไต่สวนว่า ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าตอนนี้เหลือประเด็นที่ต้องพิจารณา เป็นปัญหาในข้อกฎหมายเท่านั้น ส่วนปัญหาข้อเท็จจริง ศาลเห็นว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงไม่เปิดไต่สวนอีก อย่างไรก็ตาม ศาลมีความเห็นให้ผนวกเอาคำร้องของคู่กรณีเข้ามาอยู่ในสำนวนด้วย อย่างน้อยแม้จะไม่มีการไต่สวน เราได้มีพยานเพิ่มเติมเข้าไป แต่ในฐานะผู้ถูกร้องต้องเรียกว่า น่าเสียดายที่ไม่มีการเปิดไต่สวน เพราะเห็นว่าเรื่องข้อเท็จจริงยังมีประเด็นปัญหาที่ควรมีการไต่สวนให้ถึงที่สุดก่อนยังมั่นใจในข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่ต่อสู้ไป ไม่ว่าประเด็นกระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การต่อสู้ว่าการกระทำของพรรค ก.ก.ที่ถูกกล่าวหาไม่ใช่การล้มล้างหรือปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ทำไมไม่มีเหตุในการยุบพรรค ก.ก. เป็นต้น สิ่งที่พรรค ก.ก.ทำได้หลังจากนี้คือเตรียมคำแถลงปิดคดีภายใน 24 ก.ค. โดยศาลให้ส่งเป็นเอกสาร

ยังมั่นใจข้อต่อสู้มีน้ำหนัก

เมื่อถามว่ากังวลในคำวินิจฉัยหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ไม่ได้กังวลอะไรขนาดนั้น แม้ศาลเห็นว่าจะเหลือแต่ข้อกฎหมาย ยังมั่นใจว่าการต่อสู้ข้อกฎหมายของเรามีน้ำหนัก เรื่องนี้อยู่ในดุลพินิจของศาล ผู้ถูกร้องคงก้าวล่วงไม่ได้ เพียงแต่เสียดายโอกาสที่จะทำให้ มองในแง่ดีต่อทุกฝ่ายด้วยว่า ถ้าเปิดไต่สวนเพื่อให้คู่กรณีมีการต่อสู้อย่างเต็มที่ คงจะเป็นเรื่องดีต่อการยอมรับคำวินิจฉัย

แย้ม “เขาบอกว่าน่าจะไม่ยุบแล้วมั้ง”

เมื่อถามย้ำว่าพรรคเตรียมการอะไรไว้หรือไม่ในวันฟังคำวินิจฉัย นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไร เดี๋ยวคงต้องหารือกันว่าวันที่ 7 ส.ค.จะอย่างไร ชนกับวันประชุมสภาฯ ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาภายในอะไรกัน ส่วนใหญ่เตรียมทำงานปกติตามแผนที่วางไว้ ขณะนี้ระยะเวลาผ่านมานานแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้ว ตกผลึกคดีมาถึงนี่หลายเดือนแล้ว ทุกอย่างนิ่งหมดแล้วภายในพรรค เมื่อถามอีกว่าพูดแบบนี้หมายความว่าเต็มใจยอมรับหากพรรคถูกยุบใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่ใช่เต็มใจยอมรับ ยังเตรียมมาทำงานอยู่วันที่ 8 ส.ค. เรียนตามตรง ยืนยันว่าทุกอย่างภายในพรรคนิ่งหมด เราบริหารจัดการได้ ยังเชื่อมั่นว่าแม้ศาลจะวินิจฉัยเฉพาะ-ข้อกฎหมาย ถ้าใครได้เห็นเอกสารหลักฐานที่ตนแถลงไปวานนี้ยิ่งมั่นใจ

เมื่อถามย้ำว่า ถ้ามีการยุบพรรคเกิดขึ้น ได้เตรียมการอะไรไว้หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา เรารอฟังคำวินิจฉัยก่อน เมื่อถามอีกว่า ยังมีแนวโน้มพรรคจะถูกยุบอยู่หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า “ตอนหลังเขาบอกว่าน่าจะไม่ยุบแล้วมั้ง” เมื่อถามว่าใครเป็นคนบอก นายชัยธวัชหัวเราะแต่ไม่ตอบ ก่อนกล่าวต่อว่า ตอนนี้มีโอกาส อย่าเพิ่งสรุป ยิ่งต่อสู้คดีไป ยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ทุกอย่างตกผลึกหมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรทั้งสิ้น เตรียมทำงานอย่างเดียว เจอกันวันที่ 8 ส.ค. เป็นวันทำงาน เราตั้งกระทู้สดถามนายกฯ จะมาในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน

กกต.รับ 2 คำร้องเร่งสอบ “หมอเกศ”

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กกต.ว่า กรณีปัญหาวุฒิการศึกษาของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.กลุ่ม 19 กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ กกต.ได้รับ 2 คำร้องที่ขอให้ตรวจสอบว่าการที่ พญ.เกศกมลระบุประวัติการศึกษาว่าเป็นศาสตราจารย์ จบปริญญาเอกจาก California University ในใบเอกสารแนะนำตัวสมาชิกวุฒิสภา (สว.3) เข้าข่ายเป็นการกระทำหลอกลวง จูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ เพื่อให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ตนตามมาตรา 77 (4) พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาหรือไม่ โดยเลขาธิการกกต.มีคำสั่งรับเป็นสำนวนเมื่อวันที่ 1 ก.ค.67 และอีกคำร้อง กกต.มีมติสั่งรับเป็นสำนวนเมื่อวันที่ 5 ก.ค.67 แต่ กกต.ประกาศรับรอง พญ.เกศกมลให้เป็น สว. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ทั้งที่รับ 2 คำร้องเป็นสำนวนแล้ว เนื่องจากตามกฎหมายไม่ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้สมัคร สว.ว่าต้องมีวุฒิการศึกษาระดับใด พญ.เกศกมลไม่มีประเด็นที่ถูกร้องเรื่องขาดคุณสมบัติ แต่กล่าวหาว่าข้อมูลประวัติการศึกษาในใบสว.3 เป็นการหลอกลวงให้ลงคะแนนเลือก ต้องตรวจสอบ หาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาตามระเบียบ กกต.กำหนด จึงประกาศรับรองไปก่อน ขณะนี้กำลังเร่งสืบสวนไต่สวนตามคำร้อง

“บิ๊กแจ๊ส” ยื่นสอบคู่แข่งขาดคุณสมบัติ

วันเดียวกัน พ.อ.ปณต เขตสันต์เทียะ ฝ่ายกฎหมายของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี นำหนังสือมายื่นต่อ กกต.หลังพบว่ามีผู้สมัครนายก อบจ.ปทุมธานี 1 คน ขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากเคยถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และส่งฟ้องศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ โดย พ.อ.ปณตกล่าวว่า การลงรับสมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขาดคุณสมบัติก่อนวันที่ลงสมัคร หากกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่าขาดคุณสมบัติเป็นอำนาจของ กกต. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ไม่เคยติดใจเรื่องผลการเลือกตั้งว่าจะแพ้หรือจะชนะ แต่ทีมกฎหมายเป็นผู้เสนอว่ากรณีคุณสมบัติของผู้สมัครถือเป็นเรื่องกฎหมาย เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งอื่นๆด้วย จึงต้องการให้ตรวจสอบ เพื่อเป็นบรรทัดฐานเหมือนกันทุกกรณี

นายกฯหวัดถามหาเพลียเล็กน้อย

เมื่อเวลา 08.38 น. ที่รัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไปร่วมประชุมสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอ 122,000 ล้านบาท โดยนายกฯมีอาการอ่อนเพลีย เสียงแหบเล็กน้อยเนื่องจากอาการไข้หวัดและพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ยังคงปฏิบัติภารกิจตามปกติ หลังจากเข้าร่วมประชุมสภาฯช่วงบ่าย ได้พบหารือกับคณะผู้บริหารธนาคารกสิกรไทย กลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส- เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และนาย Andrew Ng คณะกรรมการบริหารบริษัท Amazon.com, Inc. และผู้ก่อตั้งบริษัท AI Fund ที่เข้าเยี่ยมคารวะ ที่ทำเนียบรัฐบาล

แจงตั้งงบดิจิทัลเพิ่ม 1.22 แสนล้าน

ต่อมาเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่าง พ.ร.บ.งบฯเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท วาระแรก มีนายพิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยนายเศรษฐาชี้แจงว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องตั้งงบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท เป็นค่าใช้จ่าย โดยประมาณการจากเงินที่พึงได้ ดังนี้ 1.ภาษีและรายได้อื่น เป็นแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ 1 หมื่นล้านบาท 2.เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบ 1.12 แสนล้านบาท ดำเนินการผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตคำนึงถึงความสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจรัฐธรรมนูญปี 2560 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ทั้งนี้ งบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาทนี้ จำแนกเป็นงบกลาง 1.22 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของวงเงิน เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมตาม พ.ร.บ.งบปี 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท จะทำให้งบปี 2567 มีงบรวม 3.6 ล้าน ล้านบาท

โอ่การเงินประเทศยังแข็งแกร่ง

นายเศรษฐากล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2-3 จากปัจจัยการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวและบริการ การขยายตัวของการส่งออก แต่ยังมีข้อจำกัดปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสูง เศรษฐกิจการเงินโลกผันผวนสูง หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เม.ย.2567 มี 11.5 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 63.78 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ยังอยู่ในกรอบกฎหมายไม่เกินร้อยละ 70 ส่วนฐานะเงินคงคลังวันที่ 31 พ.ค.2567 มี 3.94 แสนล้านบาท เงินสำรองระหว่างประเทศ 2.21 แสนล้านดอลลาร์จัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก แม้ว่างบปี 2567 จะขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ในงบเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 97,600 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายลงทุนตาม พ.ร.บ.งบฯปี 2567 จำนวน 7.1 แสนล้านบาท ทำให้มีรายจ่ายลงทุน 8.07 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 17.1 คิดเป็นร้อยละ 22.4 ของวงเงินงบฯรวม ทั้งหมดนี้รัฐบาลจะใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้ประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืนและเป็นไปตามกฎหมาย

“ไหม” เปิดฉากสับใช้งบข้ามปีผิด ก.ม.

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรค ก.ก.อภิปรายว่า รัฐบาลไม่แคร์ภาวะความเสี่ยงของประเทศ เพียงเพื่อให้ได้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกฯยืนยันจะใช้งบกลาง เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินจำเป็น แต่เงินส่วนนี้จะไม่ถูกเอาออกไปกระตุ้นเศรษฐกิจในปีงบฯนี้ใช่หรือไม่ 43,000 ล้านบาท ต้องถูกกั๊กเอาไว้ไปจนถึงปลายปี งบฯกลางส่วนนี้ถ้าต้องเอามาเบิกจ่ายข้ามปีในปี 68 เพื่อมาแจกเงินดิจิทัล พร้อมกับงบฯอีกส่วนหนึ่งที่มาขอจากสภาฯวันนี้ 122,000 ล้านบาท รวม 165,000 ล้านบาท จะถูกโยกข้ามมาใช้หลังจบปีงบฯ 67 ในวันที่ 30 ก.ย. การโยกงบจากปี 67 ไปใช้ข้ามปีในปี 68 ไม่น่าจะได้ มาตรา 21 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง บอกชัดเจนว่าการจัดทำงบเพิ่มเติมต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบฯ ชื่อคืองบกลางปีจะไปใช้ข้ามปี ผิดมาตรา 21 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังชัดเจน

อ้างประหลาดแจกเงินเป็นงบลงทุน

น.ส.ศิริกัญญากล่าวอีกว่า หรือจะบอกว่ารายจ่ายเพิ่มเติมเหมือนงบประจำปีใช้ข้ามปีได้ แต่มาตรา 43 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ บอกว่าต้องก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปี เดาว่าเดี๋ยวคงจะออกมาสีข้างถลอกกันต่อว่าการลงทะเบียนถือเป็นการก่อหนี้ผูกพันแล้ว แต่มันไม่ใช่ ขอเสนอว่าให้แก้ไข กฎหมายท่อนท้ายมาตรา 21 วินัยการเงินการคลังว่าเว้นแต่มีเหตุให้เป็นอย่างอื่น โดยได้รับความเห็นชอบจาก ครม. หรือเอาให้ชัดโดยความเห็นชอบของนายกฯและโครงการดิจิทัลฯใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก แต่ยังอุตส่าห์ตีความว่าเป็นรายจ่ายลงทุนได้สูงถึง 80% กลับหัวกลับหางไปหมด คำอธิบายแปลกประหลาด เป็นปัญหาการตีความ ถ้าเกิดตีความกันแล้ว ไม่นับว่าดิจิทัลวอลเล็ตเป็นรายจ่ายลงทุน จะผิด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาตรา 20

เย้ยวิญญูชนลงทุน 5 แสน ล.ได้คืน 3.5แสนล.

น.ส.ศิริกัญญากล่าวต่อว่า นอกจากสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายแล้ว ยังมีปัญหาความไม่พร้อม เช่น อีก 15 วันจะลงทะเบียนวันที่ 1 ส.ค. ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ อาทิ ระบบลงทะเบียนเพิ่งจะได้ผู้ชนะการประมูลมา 2 เจ้า เมื่อวันที่ 10 ก.ค กับวันที่ 11 ก.ค. ระบบชำระเงินยังไม่ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง เงื่อนไขเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ที่กังวลมากที่สุดคือ อีก 15 วัน ต้องลงทะเบียนร้านค้า แต่ยังไม่มีมาตรการจูงใจร้านค้ารายเล็กรายย่อยตัวจริงเข้าร่วม สรุปบอกได้คำเดียวว่าการลงทุน 5 แสนล้านบาท ได้รักษาหน้าทำตามที่หาเสียงไว้แล้ว ได้เพิ่มจีดีพีเต็มที่ประมาณการสูงสุด 350,000 ล้านบาท วิญญูชนลงทุน 500,000 ล้านบาท ได้คืน 350,000 ล้านบาท คุ้มหรือไม่ สิ่งที่เราเสียคือ เพิ่มความเสี่ยงทางการคลังประเทศ ไม่มีปัญญาจะรับมือสถานการณ์อะไรฉุกเฉินได้และต้องทำผิดกฎหมายอีกหลายข้อ

เตือนพรรคร่วม รบ.สมรู้ร่วมคิดทำผิด

จากนั้นนายไชยวัฒนา ติณรัตน์ สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ลุกประท้วงว่า น.ส.ศิริกัญญา พูดว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯฉบับนี้ผิดกฎหมาย ซ้ำๆไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้ง ถ้าไม่ประท้วงจะเข้าใจว่า ครม.ผิดกฎหมายใส่ร้าย นายพิเชษฐ์ประธานที่ประชุม วินิจฉัยให้ น.ส.ศิริกัญญาอภิปรายต่อว่า สุ่มเสี่ยงทำผิดกฎหมาย ถ้าทำต่อไปได้จะสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ในการบริหารจัดการงบฯในอนาคต อาจสร้างความเสียหายประเมินไม่ได้ ที่จะเสียอีกคือ อุตส่าห์ลงเงินไป 5 แสนล้านบาท แต่กลับสร้างกลไกเงื่อนไขโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เอื้อค้าปลีกรายใหญ่กีดกันรายย่อยโดยไม่รู้ตัว เสียโอกาสแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าให้ประชาชนเพียงเพราะต้องกั๊กเงินส่วนหนึ่งเอาไว้เพื่อไปทำโครงการนี้ปลายปี ภาระนี้จะตามเราไปถึงปี 69-70 ขอส่งความห่วงใยไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่าท่านจะกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดทำผิดกฎหมายครั้งนี้หรือไม่ ถ้ายังพอยึดถือหลักการอยู่ในหัวใจ ขอให้ สส.รัฐบาลช่วยกันคว่ำร่าง พ.ร.บ.นี้

“จุรินทร์” ซัด รบ.โหลยโท่ยไม้หลักปักเลน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า มีคนในรัฐบาลอ้างว่า เราทำเหมือนสิงคโปร์ แต่สิงคโปร์แจกจริง เพราะงบเหลือพอ แต่ประเทศไทยคนละเวอร์ชัน กู้มาแจกกัน ได้ทวงถามแทนประชาชนทุกครั้งว่า เงิน 10,000 บาท จะได้เมื่อไหร่ เพราะเป็นความล่าช้าของโครงการหรือความโหลยโท่ยของรัฐบาล ที่บริหารเหมือนเด็กเล่นขายของ ไม้หลักปักเลน โอนไปเอนมาเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ตั้งแต่ที่มาของแหล่งเงิน นายกฯเลื่อนโครงการไปเรื่อยๆ ตอนหาเสียงบอกแจกทันทีไม่มีกู้ พอเป็นรัฐบาลไม่กี่วันออกลายเลื่อนทันทีมีแต่กู้ ออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านสุดท้ายยกธงขาวจำนนด้วยกฎหมายทำไม่ได้ พยายามสร้างประเด็นว่าเศรษฐกิจกำลังวิกฤติ เอาเข้าจริงไม่ได้วิกฤติถึงขั้นต้องกู้มาแจก เปลี่ยนมาจะใช้เงินธ.ก.ส.เสียเวลาไป 3 เดือน เพราะความดื้อรั้น ดันทุรัง จนสุดท้ายต้องโยนผ้า ปากกล้าขาสั่นสร้างความหวังให้ประชาชนไปวันๆ ถึงวันนี้เม็ดเงินจริงๆยังไม่มีสักบาทเดียวล่องลอยอยู่ในอากาศ เพราะยังต้องรอขั้นตอนกระบวนการทั้ง 450,000 ล้านบาท รัฐบาลบริหารแบบคิดไปทำไป ที่ร้ายที่สุด พบว่าเป็นแบบสวนมาสวนกันไปของคนในรัฐบาลเดียวกัน

ชี้ รบ.ขอกู้เงินชดเชย 1.12 แสนล้าน

นายจุรินทร์กล่าวว่า งบกลางปี 67 โดยเฉพาะงบฉุกเฉินที่ใช้ไปแค่ 3,000 กว่าล้านบาท จากงบฯ 95,000 ล้านบาท เพื่อให้เหลือเงินเพื่อนำไปใช้แจก 43,000 ล้านบาท และงบฯปี 68 จำนวน 132,300 ล้านบาท ถามว่ารัฐบาลจะนำงบฯจำนวนนี้มาจากแหล่งใด จะใช้กลไกกรรมาธิการเสียงข้างมากตัดจากงบต่างๆ และใช้มติ ครม.นำกลับไปใส่ในงบกลางใช่หรือไม่ ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.งบเพิ่มเติมปี 67 ที่มีเนื้อหาเพียง 6 มาตรา แต่ขอวงเงิน 122,000 ล้านบาท ทั้งที่มีรายได้เพียง 10,000 ล้านบาท หากจะอนุมัติ พ.ร.บ.นี้เท่ากับว่าอนุมัติให้กู้เงินชดเชยอีก 112,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแจก ผลักภาระหนี้ทั้งต้นทั้งดอกให้รัฐบาลและลูกหลานในอนาคต มีการวิจารณ์ว่างบฯ 122,000 ล้านบาท ที่ระบุว่าเป็นรายจ่ายประจำร้อยละ 20 หรือ 24,400 ล้านบาท และอีกร้อยละ 80 หรือ 97,600 ล้านบาท เป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุนล้านบาท เหตุใดรัฐบาลเหมารวมดิจิทัลวอลเล็ตเป็นการลงทุน ทั้งที่เป็นเงินโอนเพื่อบริโภค นำไปสู่ความเสี่ยง พ.ร.บ.การเงินการคลังมาตรา 20 (1)

“จุลพันธ์” ยอมรับงบ ธ.ก.ส.มีข้อจำกัด

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่าข้อสงสัยการเปลี่ยนแปลงแหล่งงบฯไม่ใช้เงินจาก ธ.ก.ส.เนื่องจากเป็นข้อเสนอจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง หลังดูรายละเอียดแล้วเห็นว่าบริหารจัดการได้ด้วยงบที่มีอยู่ได้ แม้จะใช้กลไก ธ.ก.ส.ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังได้ แต่อาจมีข้อจำกัดการใช้งบ ธ.ก.ส.ในกลุ่มเกษตรกร ต้องจำกัดการใช้เงินอยู่ในกลุ่มสินค้าปัจจัยการผลิตเท่านั้น แต่รัฐบาลไม่ต้องการไปใส่ข้อจำกัดของเกษตรกรให้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงเปลี่ยนช่องทาง ยืนยันเงินถึงมือประชาชนปลายปีนี้แน่นอน มีเงินเพียงพอ ระบบต่างๆดำเนินการได้ทันตามกรอบเวลา ไม่ผิดกฎหมาย ผ่านกระบวนการพิจารณาจากส่วนราชการอย่างรอบคอบ ข้อห่วงใยเรื่องเม็ดเงินโครงการยังไม่มีอยู่จริง นี่คือสาเหตุที่ต้องมาขออนุมัติร่าง พ.ร.บ.งบฯเพิ่มเติมปี 67 อีกส่วนคืองบฯปี 68 จ่ายตรงให้ประชาชนไม่มีช่องทางทุจริตจากภาครัฐ รวมถึงกำหนดให้อายุ 16 ปีเข้าร่วมโครงการ ไม่เกี่ยวกับการหาเสียง แต่เห็นว่าอายุ 16 ปีมีศักยภาพใช้จ่ายที่เหมาะสม รัฐบาลไม่ได้ทำนโยบายนี้อย่างเดียว แต่มีนโยบายอื่นๆทำควบคู่กันทุกมิติ

“พิชัย” โต้บิ๊กโปรเจกต์คิดตั้งแต่วันแรก

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้ากระตุ้นครั้งเดียวไม่เรียกกระตุ้น ต้องกระตุ้นให้มีผลต่อเนื่อง ทำเป็นโครงการถือเป็นรายจ่ายพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการบริโภค การผลิต ทุกคนได้อานิสงส์เหมือนกันหมด ที่ระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตล่าช้าคิดไปทำไป เป็นโครงการใหญ่คิดตั้งแต่วันแรกว่าต้องทำ แต่ระหว่างทางมีสิ่งให้คิดตลอด ปรับปรุง คิดไปทำไป หาทางเลือกดีที่สุดในการจัดสรรงบอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ขณะที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเหมือนเหรียญ 2 ด้านที่มองไม่ตรงกัน รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะของไทยอยู่แค่ 58.4% อยู่ระดับต่ำไม่มีปัญหาใดๆ ผลคุ้มค่าทางเศรษฐกิจไม่ได้มีแค่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลข้อมูลพื้นฐานประชาชนจะเข้ามาอยู่ในระบบ ทำให้ภาครัฐช่วยเหลือได้โดยตรงหลังจากนี้ และการกำหนดรัศมีใช้เงิน 4 กิโลเมตร ต้องการให้เงิน ไหลเข้าชุมชนมากที่สุด

ทสท.แนะถอนร่างขอกู้ส่อผิดกฎหมาย

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ. งบฯเพิ่มเติมปี 2567 สุ่มเสี่ยงขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาตรา 21 ตั้งงบกลางค่าใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้านบาท รัฐบาลไม่น่ามีอำนาจเสนอร่าง พ.ร.บ.นี้ได้ เพราะย้อนแย้งกับกฎหมายวินัยการเงินการคลัง เหตุใดไม่ตั้งงบ 4.5 แสนล้านบาท ให้ครบอยู่ในงบฯปี 2568 ทีเดียว รัฐบาลเคยเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน แต่ถูกคัดค้านจนถอยกลับไป แต่การมาของบเพิ่มเติมปี 2567 เพื่อกู้เงิน 1.12 แสนล้านบาท โดยใช้วิธีตั้งงบแบบขาดดุลเพิ่มเติมอีก น่าจะสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ไม่รู้ได้หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือยังว่า ขัดกฎหมายหรือไม่ ขอให้ถอนร่างนี้ออกไปก่อน

สภาฯเห็นชอบผ่านวาระแรก

กระทั่งเวลา 18.50 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. อภิปรายสรุปปิดท้ายว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ไม่คุ้มเสีย เต็มไปด้วยคำถาม ผลที่ได้มาต้องแลกกับความลำบากของประชาชน เช่น นักเรียนหลุดจากระบบการศึกษามากกว่า 50% การช่วยเหลือผู้ปกครองเรื่องค่าเล่าเรียน การแก้ปัญหาค่าไฟแพง สวัสดิการประชาชน เป็นต้น พรรค ก.ก.พร้อมจะตรวจสอบต่อไป ขณะที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง กล่าวขอบคุณ สส.แทนนายกฯ กระทั่งเวลา 19.45 น. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ประธานที่ประชุม สั่งให้ลงมติ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมลงมติรับหลักการวาระแรก 297 ต่อ 164 ตั้ง กมธ.วิสามัญ 32 คน ประกอบด้วย ครม. 8 คน พรรค พท. 7 คน พรรค ก.ก. 7 คน พรรค ภท. 3 คน พรรค พปชร. 2 คน พรรครทสช. 2 คน พรรค ปชป.พรรค ชทพ. และพรรค ปช.พรรคละ 1 คน ให้เวลาพิจารณา 5 วัน ก่อนเสนอที่ประชุมวาระ 2-3 ในวันที่ 31 ก.ค.

ศาลแพ่งสั่ง คปท.ยุติชุมนุมภายใน 7 วัน

วันเดียวกัน ศาลเเพ่งออกเอกสารข่าวกรณีเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ผกก.สน.นางเลิ้ง ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการชุมนุมคดีของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ร่วมกับกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ที่จัดชุมนุมค้างคืนบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพิษณุโลก แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ กับขอให้ศาลมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมรื้อถอนเต็นท์ที่ปิดทับช่องจราจรและป้ายรถโดยสารประจำทางมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมเปิดช่องทางการจราจรบนถนนพิษณุโลกเพิ่มหนึ่งช่องทางจากที่ปิด 2 ช่องทางกับให้กลุ่มผู้ชุมนุมหยุดกิจกรรมชุมนุมในวันที่ 29 ก.ค.พิเคราะห์พยานหลักฐานเห็นว่า การชุมนุมโดยกางเต็นท์และปลูกต้นไม้บนฟุตปาทและผิวจราจรนานกว่า 5 เดือนเป็นเหตุให้อาจารย์ เจ้าหน้าที่และนักศึกษาได้รับความเดือดร้อน ศาลเห็นควรมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมตามคำร้องเลิกการชุมนุมสาธารณะตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 22 จึงมีคำสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมตามคำร้องเลิกการชุมนุมสาธารณะภายในเวลา 7 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเป็นต้นไป

ม็อบดื้อไม่ยอมเลิกดิ้นอุทธรณ์

ต่อมาเวลา 15.45 น. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ ไทย (คปท.) ให้สัมภาษณ์หลังศาลแพ่งมีคำสั่งให้ คปท. และกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ยุติการชุมนุมบริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพิษณุโลก ใกล้ทำเนียบรัฐบาลว่า ตอนนี้รับทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว แต่จะยังไม่ยุติการชุมนุม โดยในวันที่ 18 ก.ค. จะให้ทีมทนายความเดินทางไปยื่นคัดสำเนาคำสั่งศาล เพื่อหาแนวทางยื่นอุทธรณ์ต่อไป

บุก ป.ป.ช. ทวงสอบอาการป่วย “ทักษิณ”

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 11.00 น. นายพิชิต ไชย มงคล แกนนำ คปท.และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง นำกลุ่มผู้ชุมนุมกองทัพธรรม 150 คน ไปที่สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนสนามบินน้ำ จ.นนทบุรี พร้อมรถติดตั้งเครื่องขยายเสียง กล่าวโจมตีการทำงานของ ป.ป.ช.ทั้ง 8 คน ไม่โปร่งใส ไม่ชอบมาพากล นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า ป.ป.ช.ไม่ได้ทำหน้าที่เท่าที่ควร ถ้าไม่มีความกล้าทำหน้าที่ขอให้ลาออกไป แล้วหาคนที่กล้ามาทำหน้าที่แทน เรามาติดตามความคืบหน้าอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯระหว่างรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ว่าป่วยจริงหรือไม่ เพราะกำลังจะพ้นโทษเร็วๆนี้ แต่ขบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช.ยังไม่มีผลอะไรเลย ทั้งที่ผ่านมา 11 เดือนแล้ว

นายพิชิตกล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.66 แต่จะครบ 1 ปี แล้ว ผู้ต้องขังจะได้รับการพ้นโทษแล้ว คดียังไม่คืบหน้า จากนั้นนายจักรกฤช ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการป.ป.ช. มารับหนังสือ เชิญตัวแทนเข้าห้องชี้แจงว่าสอบปากคำพยานไปแล้ว 20 ปาก อยู่ในช่วงรวบรวมพยานหลักฐาน แต่เอกสารเวชระเบียนผู้ป่วยยังไม่ได้รับจาก รพ.ราชทัณฑ์และกรมราชทัณฑ์ ป.ป.ช.ส่งหนังสือแจ้งเตือน 2 หน่วยงานให้เร่งส่งมาให้ ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 34 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่