“ภูมิธรรม-จักรพงษ์” บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดึงนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ร่วมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง สร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน รับมือ “ลานีญา” มั่นใจการบริหารจัดการน้ำมีเอกภาพ ลดผลกระทบน้ำท่วมให้น้อยที่สุด

วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามความพร้อมมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 พร้อมด้วย นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นายไพรัตน์ เพชรยวน รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยช่วงเช้าตรวจสอบแนวกำแพงป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ณ วัดไชยวัฒนาราม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จากนั้นร่วมรับฟังการเตรียมความพร้อมของแผนเผชิญเหตุ ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อำเภอบางปะอิน และในช่วงบ่าย เป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้า และสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ณ ห้องประชุมแพรวา ชั้น 2 สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) อำเภอบางไทร โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ 24 หน่วยงาน นักวิชาการ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม และเครือข่ายภาคประชาชน เข้าร่วม รวมกว่า 200 คน 

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตามที่ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามประเมินสภาพอากาศปีนี้ พบว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะลานีญา ส่งผลให้มีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น โดยได้กำหนด 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยเน้นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรและเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ รวมถึงการประสานความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐในการดำเนินการติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ การบริหารจัดการน้ำ และประสานการช่วยเหลือประชาชน เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งสามารถเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที

...

“ในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาติดตามการฝึกซ้อมแผนการรับมืออุทกภัย จึงได้กำชับให้ สทนช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในปีนี้อย่างมีเอกภาพ นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่ภาคกลาง ดำเนินการติดตามสถานการณ์น้ำและแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างใกล้ชิด และให้ทุกหน่วยงานเดินหน้าประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เพื่อใช้ในการวางแผนการเตรียมการรับมือล่วงหน้า สำหรับช่วงวันที่ 16-17 กรกฎาคมนี้ ตามที่ได้มีการคาดการณ์ว่าอาจมีปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออก จึงได้มอบหมายให้ สทนช. นำรูปแบบการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุไปเตรียมการตั้งศูนย์ส่วนหน้าเพื่อรับมือสถานการณ์ ณ จังหวัดระยอง หรือพื้นที่ใกล้เคียง ในส่วนโครงการที่ได้รับงบประมาณในช่วงที่ผ่านมา ให้เร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด”

ทั้งนี้ ผลการดำเนินการตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน 2567 ในการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงภัย สทนช. ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามวิเคราะห์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากดินถล่มและพื้นที่ที่ฝนทิ้งช่วงอย่างต่อเนื่อง จนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลหลักสำหรับดำเนินการบริหารจัดการปัญหาอุทกภัยตามมาตรการอื่นๆ ในส่วนมาตรการที่ได้เตรียมการล่วงหน้า รัฐบาลได้เร่งรัดดำเนินการตั้งแต่ช่วงก่อนฤดูฝนและดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงช่วงสิ้นฤดูฝน เช่น การทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ การตรวจสอบพร้อมติดตามความมั่นคงปลอดภัยคันกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยง และผลการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของทางน้ำอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมรับมือในช่วงฤดูแล้ง จึงมีมาตรการเร่งพัฒนาและเก็บกักน้ำในแหล่งน้ำทุกประเภท สำหรับใช้เป็นแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้า ส่วนการสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายภาคประชาชนและการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับข้อมูลสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้กำชับให้ สทนช. ติดตามประเมินผลและรายงานให้รัฐบาลรับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ฤดูฝนปีนี้เป็นปีที่สามารถลดผลกระทบกับประชาชนให้ได้มากที่สุด

ทางด้าน เลขาธิการ สทนช. กล่าวเสริมว่า การซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและการจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน ในวันนี้เป็นไปตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในมาตรการที่ 6 การซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยและฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ มาตรการที่ 8 การสร้างความเข้มเข็งเครือข่ายภาคประชาชนในการให้ข้อมูลสถานการณ์ และมาตรการที่ 9 การสร้างการรับรู้ ศูนย์บริการข้อมูลสถานการณ์น้ำ และประชาสัมพันธ์ ซึ่ง สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 24 หน่วยงาน นักวิชาการ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม และเครือข่ายภาคประชาชน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน ตาม 10 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 โดยในปีนี้ได้เชิญนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 5 แห่ง คือ 1. นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน 2. นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) 3. นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง (สหรัตนนคร) 4. นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และ 5. นิคมอุตสาหกรรมแฟคตอรี่แลนด์วังน้อย เข้าร่วมด้วย 

เลขาธิการ สทนช. ระบุต่อไปว่า พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของประเทศ เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก อีกทั้งมีโรงงานอุตสาหกรรมรวมกันมากกว่า 2,600 โรงงาน โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 5 แห่ง รวมจำนวน 595 โรงงาน และตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรมอีกกว่า 2,000 โรงงาน อีกทั้งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างยังเป็นพื้นที่การเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ มีการเพาะปลูกพืชในเขตชลประทานกว่า 9.6 ล้านไร่ โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวมีมากกว่า 8 ล้านไร่ หากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจะส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ดังนั้น การวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะต้องวางแผนให้ครอบคลุมและรัดกุมในทุกๆ ด้าน ซึ่งการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุก่อนที่จะเผชิญกับสถานการณ์จริง จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีเป้าหมายในการซักซ้อมการปฏิบัติงานให้สามารถติดตาม ประเมินผลการบริหารจัดการและคาดการณ์สถานการณ์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถแจ้งเตือนได้อย่างตรงจุดและให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบได้อย่างมีเอกภาพและทันต่อสถานการณ์