จับตาประชุม ก.ตร. 26 มิ.ย. “เศรษฐา” นั่งหัวโต๊ะถก “รองโจ๊ก” ได้ไปต่อในเครื่องแบบหรือไม่ ชี้ไม่มองเป็นการขู่หลังมีข่าว “โจ๊ก” เตรียมฟ้องหากพ้นสีกากี เข้าใจความร้อนใจ ยันไม่เข้าข้างใคร แนะทุกคนสำนึกเข้ามาอยู่ตรงนี้เพื่อ ปชช. ด้าน “วิษณุ” แนะ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ควรฟ้องนายกฯ ให้รอ ก.พ.ค.ตร. หากไม่พอใจค่อยฟ้องศาลปกครอง ด้านเจ้าตัวโร่ฟ้องศาลเอาผิด “วินัย ทองสอง” ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาท ส่งตัวแทนยื่นหนังสือ ผบ.ตร.ให้ยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการ-สอบวินัยร้ายแรง อ้างเพื่อระงับความเสียหายจากการใช้ดุลพินิจไม่ชอบ ขู่ฟ้อง 157 หากละเลย ขณะเดียวกัน “ทนายตั้ม” บุก ตร.จอดรถที่ “รองโจ๊ก” ยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้เร่งรัดคดี “บิ๊กต่อ-ภรรยา” กับพวกสมคบฟอกเงินเว็บพนัน
ศึกบิ๊กสีกากียังอีนุงตุงนัง หลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กลับมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเดินทางกลับเข้าไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อเย็นวันที่ 21 มิ.ย. เป็นครั้งแรกตั้งแต่มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 มี.ค.67 พร้อมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. คู่กรณี และมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 2 นายพลคนดังกล่าวที่ฟ้องร้องกันไปมาจนเสร็จสิ้นและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ในขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ขณะเป็น รรท.ผบ. ตร.เซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
...
“ทนายตั้ม” บุก ตร.จอดรถที่ “รองโจ๊ก”
วันที่ 25 มิ.ย.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เพื่อให้กำชับเร่งรัดการสอบสวนคดีความ ที่ก่อนนี้ที่ไปยื่นที่ สน.เตาปูน พบว่ามีข้อมูลหลักฐาน การรับเงินจากบัญชีม้าเว็บพนันออนไลน์ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และครอบครัว มี พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.เวรอำนวยการรับเรื่อง โดยการเดินทางมาครั้งนี้ นายษิทรานำรถยนต์ส่วนตัวไปจอดในที่จอดรถของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เมื่อนักข่าวถามว่าเหตุใดจึงนำรถส่วนตัวไปจอดที่จอดรถของผู้บังคับบัญชา นายษิทรากล่าวว่า เห็นว่าที่จอดรถว่างอยู่
จี้ รบ.เผยผลสอบ 2 บิ๊กสีกากี
นายษิทรากล่าวว่า คดีที่ สน.เตาปูนไม่คืบหน้าไม่มีการเรียกใครไปแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งที่เส้นเงินในบัญชีเห็นชัดเจนว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีคนในครอบครัว ผบ.ตร. อยากถามนายกรัฐมนตรีด้วยว่ากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งที่รู้ว่า ผบ.ตร.ถูกดำเนินคดีรับเงินคดีเว็บพนันแต่ไม่ทำอะไร และอนุญาตให้กลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม เรียกร้องให้รัฐบาลเผยข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนข้อขัดแย้งที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น เชื่อว่าประชาชนอยากรู้ว่าเวลา 3 เดือนในการตรวจสอบผลเป็นอย่างไร ประชาชนไม่ได้อยากรู้ใครทะเลาะกับใคร แต่ต้องการรู้ว่าใครผิดหรือใครถูก มั่นใจว่าคณะกรรมการเอื้อประโยชน์ให้กับ ผบ.ตร. การที่ สน.เตาปูนไม่ดำเนินการอะไรเพิ่มไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา แน่นอนว่าพนักงานสอบสวนจะต้องเกรงกลัว เพราะผู้ที่เขาจะต้องดำเนินคดีคือผู้บังคับบัญชาระดับสูงใน ตร.ทั้งที่อยู่ในระหว่างการสอบหาข้อเท็จจริง ขณะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ต้องถูกออกจากราชการชั่วคราว แต่ ผบ.ตร.ได้กลับมาทำงานปกติ ยืนยันว่าพยานหลักฐานเห็นชัดเจนควรจะเรียกผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้แล้ว
บี้ “ผบ.ต่อศักดิ์”ควรลาออก
ถามว่าหนังสือเร่งรัดวันนี้จะถูกส่งถึงผู้บังคับ บัญชาหรือไม่ นายษิทรากล่าวว่า ตนมาร้องตามสิทธิ์ ต้องตามดูว่าจะมีการสั่งการอย่างไรหลังจากทำหนังสือฉบับนี้จะมีข้อสั่งการหรือ ผบ.ตร.จะเงียบหลบสื่อ ส่วนที่สังคมสงสัยว่าตนออกมาเรียกร้องเดินหน้าต่างๆ เป็นการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หรือไม่นั้น ถ้าตนจะทำเพื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็คงไปดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ที่ลงนามคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ส่วนประเด็นที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนมิชอบด้วยกฎหมาย ในฐานะทนายความ มองว่า ปกติแล้วศาลไม่ได้ฟังความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ถ้าสุดท้ายเรื่องนี้ผิดกฎหมาย ศาลต้องให้ความเป็นธรรม ทั้งนี้ การดำรงตำแหน่งผบ.ตร.จะต้องมีเกียรติมีศักดิ์ศรี หากพบว่ามีพยานหลักฐานโดยเฉพาะเส้นการเงินที่ชัดเจน และยังดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อไป อาจทำให้องค์กรตำรวจเสื่อมเสีย และเป็นเหมือนกับไม่เห็นหัวประชาชนที่นายกฯจะสามารถแต่งตั้งใครขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.ก็ได้ โดยที่ไม่ตรวจสอบมาก่อนหรือขึ้นอยู่กับดีล ดังนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ควรลาออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.
“โจ๊ก” ส่งตัวแทนบี้ “ต่อ” ให้ถอนคำสั่ง
ไล่เลี่ยกันตัวแทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางไปที่ศูนย์รับ-ส่งหนังสือตำรวจแห่งชาติ สำนักเลขานุการตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้พิจารณายกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจออกจากข้าราชการไว้ก่อน เนื้อหาระบุว่า กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร.ในขณะนั้นมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ซึ่งขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 (ฉบับใหม่) ถือว่าเป็นคำสั่งโดยไม่ชอบในเนื้อหาของหนังสือช่วงหนึ่งระบุว่า คำสั่งดังกล่าวมีลักษณะประวิงเวลาเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่นอย่างใดอย่างหนึ่งจนเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จึงส่งตัวแทนยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.ตามเดิม
ขู่ฟ่อ-ละเลยถือมีเจตนา 157
เอกสารระบุว่า ขอให้พิจารณาตามอำนาจหน้าที่เพื่อระงับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐในขณะ รรท.ผบ.ตร. มี 2 ประเด็นสำคัญที่ให้พิจารณาคือ ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 177/2567 และเลขที่ 178/2567 และมอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กลับเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ตามเดิม หาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ไม่ดำเนินการ ละเลยหรือประวิงเวลา จนได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหายต่อสิทธิที่ควรจะได้รับ ถือว่ามีเจตนากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“โจ๊ก” ฟ้องศาล ก.ตร.หมิ่น
อีกด้านหนึ่ง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ไปยื่นฟ้องคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ท่านหนึ่ง ยศ พล.ต.อ.และเป็นกูรูด้านกฎหมายที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบประเด็นความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีให้สัมภาษณ์ยืนยันข้อเท็จจริงให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าใจว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ หลังศาลอนุมัติหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
ชี้นำสังคมให้เชื่อรับเงินพนัน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า แม้ศาลจะออกหมายจับตนคดีเว็บพนันเป็นเพราะไม่ไปตามหมายเรียกไม่ใช่เพราะทำความผิด แต่การที่กูรูท่านนั้นซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบประเด็นความขัดแย้ง มีหน้าที่ตรวจสอบและรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ไม่ได้มีหน้าที่ออกมาพูดวินิจฉัยเรื่องคดีหรือพิพากษาคดีแทนศาล รวมถึงต้องให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงฟังความและพยานจากทั้ง 2 ฝ่าย ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษาคดีถึงที่สุดก็ถือว่าผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์ การที่กูรูให้ความเห็นคดีชี้นำสังคมทำให้สังคมเชื่อไปแล้วว่าตนรับเงินเว็บพนันจริงหรือมีความผิดฐานฟอกเงินจึงเข้าข่ายหมิ่นประมาท กูรูสามารถให้ความรู้ทางกฎหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกหมายจับหรือหมายเรียก แต่ไม่ใช่ชี้นำสังคมให้เข้าใจว่าบุคคลใดมีความผิด แต่กูรูท่านนี้ อาจเกษียณจากราชการตำรวจไปนาน ลืมข้อกฎหมาย จนละเมิดสิทธิทางอาญา
ลั่นใครไม่โดนแบบตนไม่รู้
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมก.ตร.ที่จะมีขึ้นวันพรุ่งนี้ (26 มิ.ย.) ให้เป็นไปตามดุลพินิจของคณะกรรมการ ไม่ขอแทรกแซงแต่กระบวน การต้องชอบธรรมเคารพสิทธิ์ตนเองด้วย ไม่กังวลว่าจะถูกครหาที่วันนี้ออกมายื่นฟ้องหนึ่งใน ก.ตร. ยืนยันมาใช้สิทธิ์ตามกฎหมายไม่ใช่ขู่หรือฟ้องปิดปาก เพียงออกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ใครไม่โดนแบบตนคงไม่รู้ ส่วนผลการประชุม ก.ตร.หากออกมาเป็นลบกับตน ยังมีช่องทางเรียกร้องสิทธิ์ฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดต่อได้ ตอนนี้เพียงรอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.)
จ่อฟ้องกูรู-ผู้บังคับบัญชา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามในวันที่ 28 มิ.ย. เตรียมยื่นฟ้องกูรูอีก 1 คนด้วยในความผิดฐานหมิ่นประมาทเช่นเดียวกันและสัปดาห์หน้าจะยื่นฟ้องผู้บังคับบัญชาระดับสูงด้วย ส่วนที่ตนถูกดำเนินคดีเรื่องพนันออนไลน์หากผิดก็น้อมรับ ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่จะไม่ขอพูดชี้นำสังคมปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน แต่เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ถ้าตนเป็นผู้รักษากฎหมายแต่ไปรับเงินเว็บพนันเองก็คงไม่มียางอายที่จะมารับใช้ประชาชน และหากตนผิดชัดเจนถือว่าเกมโอเวอร์ ทั้งนี้ ยอมรับว่าที่ผ่านมามีความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติจริง เป็นความขัดแย้งหลายระดับตามที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวจริง
วงในชี้โจ๊กฟ้อง “วินัย ทองสอง”
มีรายงานว่า สำหรับ ก.ตร.ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้นตรวจสอบความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทฯนั้นคือ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรอง ผบ.ตร.
“วินัย” เตรียมปกป้องสิทธิ์
ด้าน พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร. กล่าวหลังทราบข่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ยื่นฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทฯ กรณีให้สัมภาษณ์ยืนยันข้อเท็จจริงให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าใจว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเว็บพนันออนไลน์ ว่า ยินดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะฟ้องร้องเพราะจะได้นำพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีออกมาเปิดเผยกับศาลและสาธารณชน เป็นสิทธิ์พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทำได้ หลังจากนี้หากการฟ้องร้องไปถึงชั้นศาลจะนำพยานหลักฐานที่มีไปชี้แจงเพื่อปกป้องสิทธิ์ตนเช่นกันว่าตนรู้ข้อมูลพยานหลักฐานการกระทำใดๆบ้าง
ยัน “ต่าย” เซ็น “โจ๊ก” ออกถูก ก.ม.
ถามถึงกระแสข่าวว่าที่ประชุมอนุกรรมการ ก.ตร.มีคะแนนเอกฉันท์ 10 ต่อ 0 ว่า กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รอง ผบ.ตร. ขณะที่เป็น รรท.ผบ.ตร.เซ็นหนังสือคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการ ถูกต้องตามระเบียบตาม พ.ร.บ.ตำรวจพ.ศ.2565 พล.ต.อ.วินัยกล่าวว่า มีการประชุมเรื่องดังกล่าวจริงเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ตนเป็นประธานการประชุม จากการพิจารณา พ.ร.บ.ตำรวจ รวมถึงกฎหมายลูกอื่นๆคณะอนุกรรมการลงความเห็นในครั้งแรกออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าการเซ็นหนังสือคำสั่งดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบต่างๆ แต่มีการลงมติในรอบที่ 2 เนื่องจากมีผู้มาเข้าประชุมเพิ่ม 1 คน ทำให้การลงมติเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเล็กน้อย ส่วนใหญ่ลงมติความเห็นตามเดิม แต่มีอนุกรรมการ 1 คนงดออกเสียง ผลการลงมติดังกล่าวจะนำส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีและที่ประชุมคณะ ก.ตร. ชุดใหญ่วันที่ 26 มิ.ย. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มติความเห็นของอนุกรรมการจะถูกนำไปประกอบกับความเห็นของคณะกฤษฎีกาและความเห็นผู้ร่วมเข้าประชุมคนอื่นๆ คาดว่าน่าจะมีผลชี้ขาดในวันพรุ่งนี้ ตนไม่สามารถก้าวล่วงได้
“รองเต่า” บอกฟ้องแค่นี้จิ๊บจ๊อย
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.เผยถึงกรณีถูกบิ๊กตำรวจฟ้องร้องหมิ่นประมาทแล้วยังไม่ได้ไปศาล ว่า เห็นว่าเพิ่งเป็นหมายเรียกครั้งแรกแต่จะไปครั้งที่สอง จึงแต่งตั้งทนายความไปดำเนินการแทนเนื่องจากติดภารกิจ เรื่องที่ถูกฟ้องแบบนี้ส่วนตัวคิดไว้แล้วว่าน่าจะโดนฟ้องเยอะมากกว่านี้ ถ้ามาแค่นี้มองว่ายังจิ๊บจ๊อย ตนเป็นลูกผู้ชายเป็นตำรวจที่มีอุดมการณ์ จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ถ้าไม่สง่างามไม่สามารถจะไปต่อได้ก็ต้องชำระบาปด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ควรจะทำหากคุณเป็นผู้รักษากฎหมายกลับทำผิดกฎหมายเสียเองแล้วต่อไปสังคมจะอยู่กันได้ยังไง องค์กรตำรวจเราสร้างกันมานานเจออุปสรรคต่างๆนานาแต่ก็ผ่านกันมาได้ ระยะเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมาตำรวจมีความสุขในการทำงานเพิ่มมากขึ้นเพราะไม่มีคนจ้องหักหาญทำลายกันทำงานเป็นอิสระมากขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าทำผิดก็ต้องยอมรับ หรือจะลาออกก็ว่ากันไปจะอยู่ต่อทำไมให้เสียสถาบันไปเปล่าๆ
นายกฯรับเรื่องโจ๊กมีขั้นตอน ก.ม.
อีกด้านหนึ่งที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.25 น.วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เผยหลังประชุม ครม.ว่า วันที่ 26 มิ.ย. จะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ประเด็นการกลับเข้ารับราชการได้หรือไม่ได้ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.เป็นหนึ่งในประเด็นที่ต้องพิจารณา คณะกรรมการพิจารณาทางวินัยกับคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมจะนำข้อมูลต่างๆมาร่วมพิจารณา ต้องฟังให้รอบด้าน เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่าหากไม่ได้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ใน สตช.จะฟ้องร้องนายกฯและทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องทบทวนแก้ไขปัญหาไม่ได้นิ่งนอนใจ 3-4 เดือนที่ผ่านมาเราพยายามแก้ ไขแต่มีขั้นตอนทางกฎหมายที่ต้องทำ ในส่วนของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมส่วนตัวไม่ทราบว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เชื่อว่าถ้าเรื่องเหล่านี้จบลงแล้วจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ เข้าใจและเห็นใจทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใคร ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
หากจะฟ้อง-ไม่ได้มองว่าขู่
เมื่อถามว่ามองเป็นการขู่หรือไม่ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะฟ้องร้อง นายกฯกล่าวว่า “ผมเข้าใจว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เดือดร้อนและร้อนใจ แต่ผมเชื่อว่าในฐานะที่เป็นคนทำงานด้วยกันเราก็เข้าใจถึงความร้อนใจ และผมเองไม่ได้มองว่าเป็นการขู่” เมื่อถามว่าอยากให้ภายใน สตช.มีความปรองดองช่วยกันทำงานเพื่อประชาชนแต่สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ดำเนินการคือจะฟ้องร้องทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง จะปรองดองได้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของความปรองดองจากทุกฝ่าย ตนอยากเอาเป็นแค่ทางผ่านอันหนึ่ง แต่จุดประสงค์ใหญ่ที่อยากให้มีความปรองดองก็เพื่อที่จะให้มีการดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน เพราะทุกวันนี้ปัญหาเยอะเหลือเกิน แต่เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเราจะก้าวข้ามผ่านไปได้ และหวังว่าทุกฝ่ายเข้าใจเรื่องของขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และกฎหมายทั้งหลาย ทั้งนี้กรรมการอิสระที่ตั้งขึ้นมาพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆจากทุกฝ่าย ก็ต้องพิจารณาต่อไป
เตือนเรื่องสำคัญ 3 บิ๊ก ตร.ให้สำนึก
เมื่อถามว่าในฐานะกำกับดูแล สตช.จะให้กำลังใจ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.อย่างไร เพราะถูกหางเลขช่วงทำหน้าที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. นายกฯกล่าวว่า เชื่อว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคนไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. หรือแม้แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อว่าทุกคนมีปัญหาอยู่แล้ว “ผมอยากจะขอว่าทุกท่านเองก็มีวุฒิภาวะสูงอยู่แล้ว เรื่องปัญหาส่วนตัวต้องแก้ไขตามกระบวนการกฎหมาย อยากให้ทุกท่านสำนึกว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้เพื่ออะไรเพื่อดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนเรื่องสำคัญ และทุกท่านก็อยู่ในหน้าที่การงานมา 30 กว่าปี เชื่อว่าทุกท่านรู้ว่าหน้าที่คืออะไร” เมื่อถามว่ามีหลักการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งอย่างไรเพราะเป็นปัญหาตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่ นายกฯกล่าวว่า มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เข้ามาดำรงตำแหน่ง หากกลับไปดูจะเห็นว่าตนให้คำแนะนำแนวทางปฏิบัติอย่างไรจะเห็นว่าเรื่องทุกข์สุขของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถามต่อว่าได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มีครับ” แต่ในการประชุม ก.ตร.วันที่ 26 มิ.ย. ถ้าเจอก็จะพูดคุยกัน เพราะเข้าใจว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์จะเข้าร่วมประชุมด้วย และจะพูดคุยในคณะกรรมการ ก.ตร.ด้วย ความจริงแล้วในคณะกรรมการตนเป็นเพียงหนึ่งเสียง แม้จะเป็นประธาน แต่มีคณะกรรมการ ก.ตร. หลายๆท่านล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นอดีตผู้บริหารสูงสุดทั้งนั้นใน ตร. ต้องรับฟังความเห็นของพวกท่านเหล่านี้
วิษณุ แนะ “โจ๊ก” ไม่ควรฟ้อง “นายกฯ”
ด้านนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายก รัฐมนตรีเผยถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จะยื่นฟ้อง ม.157 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หากไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ว่า มีสิทธิฟ้อง เพราะเป็นการฟ้องส่วนตัวแต่ไม่ควรฟ้อง ที่สำคัญ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังมีช่องทางได้รับการเยียวยาหลายช่องทางควรจะไปใช้ช่องทางปกติ เช่น ทางคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่ได้เขียนไว้ว่า หากใครได้รับความเดือดร้อนจากผู้บังคับ บัญชาสามารถยื่นร้องทุกข์ได้ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ ก.พ.ค.ตร.ตัดสิน เวลานี้เรื่องทั้งหมดอยู่ที่ ก.พ.ค.ตร. ฉะนั้นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า อนุ ก.ตร.ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการกฤษฎีกา ต้องถูกส่งไป ก.พ.ค.ตร. เพื่อวินิจฉัยในเร็ววันนี้
“โจ๊ก” ใช้มติ ครม.สมัยจอมพล ป.สู้
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ควรรอคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ทุกคนควรจะรอเว้นแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปแก้ไขเยียวยาเอง ส่วนจะนานหรือไม่นั้นมันนานแต่ว่า ก.พ.ค.ตร.ได้รับเรื่องไว้นานแล้วน่าจะเหลือประมาณ 1 เดือน เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์อ้างมติ ครม.ปี 2482 ว่า หน่วยงานใดที่หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาหน่วยงานนั้นต้องทำตามนั้น นายวิษณุกล่าวว่า มีอยู่จริงออกมาตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม และใช้ตั้งแต่นั้นมา
ทุกคนใช้สิ่งที่ได้ประโยชน์อ้าง
เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะยึดความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาในการต่อสู้ และมีสิทธิจะชนะใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด ยิ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ยิ่งไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิดและในวันที่ตนแถลงก็ไม่ได้ชี้ถูกชี้ผิด แค่มาเล่าให้ฟังเท่านั้นว่าคณะกรรมการทั้งสองชุดว่าอย่างไร ในวันนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้อยู่หรือไม่ ตอบว่าใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่ง พล.ต.อ. และเป็นรอง ผบ.ตร.ก็มีโอกาสทั้งนั้น แต่สุดท้ายจะได้เป็นหรือไม่ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งมติ ก.ตร.และอยู่ที่นายกฯจะเสนอชื่อใคร เหมือนเช่นตอนที่เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เมื่อถามว่า แต่เป็นเหตุผลที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หยิบขึ้นมาอ้าง นายวิษณุกล่าวว่า ทุกคนก็เอาสิ่งที่ตนได้ประโยชน์มาอ้าง ไม่มีใครอ้างในสิ่งที่เป็นโทษ
ถ้าไม่พอใจไปศาลปกครอง
เมื่อถามว่า ขณะนี้กลายเป็นว่ามีการเอาผลสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ที่มีนายฉัตรชัย เป็นประธาน ที่ทำท่าจะจบแต่ไม่จบเพราะไปต่อยอดฟ้องร้องกัน นายวิษณุกล่าวว่าเป็นคดีใหม่ ส่วนคดีเก่าคือคดี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรื่องจบไปแล้วส่วนหนึ่ง ส่วนกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. และคนอื่นๆเป็นอีกเรื่อง เป็นธรรมดาเหมือนคดีทั่วไปที่จบอีกเรื่องก็มีอีกเรื่องต่อไป ถือเป็นเรื่องตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับองค์กร ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอย้ำประโยคนี้ว่า เขาออกแบบไว้ให้ ก.พ.ค.ตร.เป็นผู้ตัดสินปัญหาก็ต้องใช้ช่องทางนี้ หากผลตัดสินของ ก.พ.ค.ตร.ไม่เป็นที่พอใจ ก็ไปร้องศาลปกครองได้อีก เมื่อถามว่า ตอนนี้ตกลง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถกลับเข้ามาเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.ได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ถ้าดูจากวันนี้เดี๋ยวนี้ตอบได้ว่ามี แต่ถ้าต่อไปอาจมีการแก้เกมอย่างอื่นจนไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะยังมีช่องกฎหมายอีกเยอะ ตามช่องที่คณะกรรมการกฤษฎีกาบอกว่ากระบวนการไม่ชอบ และเป็นเอกฉันท์ด้วย
ยังไม่ทูลเกล้าฯเว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.สั่ง
เมื่อถามย้ำว่า กระบวนการทั้งหมดจะไม่สามารถดำเนินการได้หากยังไม่นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ เมื่อถามอีกว่า มีโอกาสที่จะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เขาจะไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯแน่ เว้นแต่ ก.พ.ค.ตร.จะสั่งลงมาแต่คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ แต่เขาบอกว่า หนังสือที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯนั้นมีข้อสังเกตว่า ควรจะถูกต้องตามกระบวนการเพราะมีตัวอย่างมาแล้วนับ 10 เรื่อง ที่กระบวนการไม่ถูกแล้วถูกส่งกลับมา ดังนั้น ต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร.และรัฐบาลเองก็ฟัง ก.พ.ค.ตร.เอาอย่างไรก็เอาตามนั้น
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่