“หมอเอกภพ” ไม่เห็นด้วย “สมศักดิ์” นำกลุ่มต่อต้านกัญชาบางคนมาเคลมตัวเลขทั้งที่ไม่ใช่มติของทั้งหมด ชี้ เคยเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ส. สั่งให้ปลดล็อก แนะ กลับไปดูเรื่องในกระทรวง ทำเรื่องเร่งด่วนก่อน

วันที่ 3 มิถุนายน 2567 นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ อดีตคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย แสดงความไม่เห็นด้วยกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ว่า ต้องรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ไม่ใช่เอาคนใดคนหนึ่งของราชวิทยาลัยที่ไม่ใช่มติสภาวิชาชีพมากล่าวหาว่ากัญชาควรเป็นยาเสพติด

นพ.เอกภพ กล่าวต่อ ย้อนกลับไปที่การปลดล็อกกัญชา ตอนนั้น นายสมศักดิ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว ก็อยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เขาเรียกเอาข้อมูลไปรับฟังหลายด้านแล้วก็สรุปมาว่า ให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ เพราะฉะนั้นตอนนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ออกประกาศโดยลําพัง ออกมาตามมติของ ป.ป.ส. แล้ว ป.ป.ส. มี นายสมศักดิ์ ก็อยู่ตรงนั้นด้วย แค่ 1-2 ปี ข้อมูลทางวิชาการงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับกัญชาก็ไม่ได้เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนไปจนถึงขนาดที่ทําให้กลับมาเป็นยาเสพติด ประเทศอื่นก็คงไม่ทําแล้ว อย่างเช่น ประเทศเยอรมนี ก็ปลดล็อกกัญชา นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ประกาศว่าจะทำให้ถูกต้องตามกฎหมายกัญชา ญี่ปุ่น ประเทศที่รักสุขภาพมาเส้นทางนี้ นี่คือที่มาที่ไปของกัญชา

“สิ่งที่ผมประหลาดใจก็คือ มีกลุ่มคนมาจากกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ มีกลุ่มราชวิทยาลัย แล้วก็มีสมาชิกของชมรมของกลุ่มนี้ประมาณ 50,000 คน คือหลายราชวิทยาลัยมารวมกัน ผมก็เลยตกใจว่า คนที่ไปหาท่านรัฐมนตรีสมศักดิ์ อย่างแรกคือตอนที่ผมเป็นกรรมาธิการสาธารณสุข เคยมีประเด็นเรื่องของข้อเสนอของราชวิทยาลัย แล้วถามในที่ประชุมว่า เวลาราชวิทยาลัยทำเอกสาร ทําหนังสือแล้วมีประธานราชวิทยาลัยเซ็นอะไรอย่างนี้ หรือว่ามีตัวแทนแสดงความเห็นนั้น เป็นความเห็นที่เป็นมติของราชวิทยาลัยหรือไม่”

...

เมื่อย้อนกลับไปดูผมเข้าใจว่ายังไม่มีมติของราชวิทยาลัยหรือว่าของสภาวิชาชีพใดๆ ลงความเห็นว่าให้นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด อาจจะมีความเห็นในเชิงส่วนตัว ประธานราชวิทยาลัยจะไม่เห็นด้วยบ้างแต่ในภาพรวมอย่างเช่นผมคนหนึ่งเป็นสมาชิกแพทยสภาไปชี้แจงในนามส่วนตัว เพราะฉะนั้นจะอ้างจํานวนหรือตัวเลขของสมาชิกราชวิทยาลัย สมาชิกสภาวิชาชีพทั้งหมดไปบอกว่าทั้งหมดเนี่ยสภาวิชาชีพหรือว่าราชวิทลัยทั้งหมด ไม่เห็นด้วยกับกัญชา ผมว่านี่เป็นข้อสรุปที่ไม่ควรทํา 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าจะทํา รัฐมนตรีควรเปิดรับฟังข้อมูลความคิดเห็นทุกฝ่าย ช่วยกลับไปดูข้อมูลในวันที่เราตัดสินใจกันว่ากัญชาปลดออกจากการเป็นยาเสพติด คณะกรรมการ ป.ป.ส.ในวันนั้น มีมติว่าให้กระทรวงสาธารณสุขไปทําประกาศ มีข้อมูลสนับสนุนอยู่ชัดเจน นายสมศักดิ์ ต้องบอกเหตุผลว่าวันนั้นทําไมท่านถึงยอม แล้ววันนี้ทําไมมาเปลี่ยนจุดยืน แล้วก็ข้อมูลทางวิชาการ อย่างที่ตั้งข้อสังเกตกันคือการที่เอากลุ่มต่อต้านกัญชา แล้วก็ใช้สภาวิชาชีพหรือว่าใช้ราชวิทยาลัยเป็นข้ออ้างเป็นตัวประกันว่า เห็นไหมเรามีนักวิชาการสนับสนุนเนี่ย อันนี้ตนคิดว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุป 

ในตอนท้าย นพ.เอกภพ ยังเผยด้วยว่า สิ่งที่ท่านควรให้ความสนใจมันไม่ใช่เรื่องของกัญชาที่จะเร่งทําตอนนี้ สิ่งที่ต้องเร่งทําคือการปรับปรุงระบบสาธารณสุขครั้งใหญ่ เพราะว่าเรื่องของ 30 บาทรักษาทุกที่ กับเรื่องของการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปอยู่ในสังกัดท้องถิ่น ยังติดขัดปัญหาอยู่ และจากการดูข้อมูลแล้ว ตนคิดว่าน่าเป็นห่วงตรงที่ 30 บาทรักษาทุกที่ จะเป็นการดึงงบประมาณทรัพยากรที่โรงพยาบาลพึงจะได้รับ ไปเปลี่ยนรูปแบบการจ่าย แล้ว รพ.สต.ที่ถ่ายโอนไป ก็ยังติดขัดหลายเรื่องอย่าง เช่น ถ้าเป็นเกี่ยวกับกระทรวงสาธารณสุข ก็มีเรื่องของการโอนบุคลากรกับโอนอาคารสถานที่ใหญ่ยังไม่เรียบร้อย 

“เรื่องด่วนที่สุดทําไมไม่เร่งทํา เรื่องที่มีปัญหากับพี่น้องประชาชน เรื่องที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตสุขภาพของพี่น้องประชาชน เรื่องที่พัฒนาระบบสาธารณสุข ดีกว่าเรื่องของกัญชา ถ้ามันไม่มีข้อมูลวิชาการเปลี่ยนแปลงก็ปล่อยมันไป แล้วก็สนับสนุนเรื่องของการมี พ.ร.บ.กัญชา ดีกว่า”