ก้าวไกล ยัน Policy Fest เตรียมมานานแล้ว ไม่เกี่ยวงาน 10 ปีของเพื่อไทย “พิธา” ชี้ 1 ปีหลังเลือกตั้งประเทศไม่คืบหน้า ลั่น สงสัยครั้งหน้าต้องได้ 270 เสียง ลั่น หากถูกทุบทำลาย จะหยิบอิฐคนละก้อนมาสร้างบ้านหลังใหม่ไปด้วยกัน
วันที่ 19 พฤษภาคม 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการจัดงาน Policy Fest ในโอกาสครบ 1 ปีเลือกตั้ง ได้ประเมินการทำงานของ สส.พรรคก้าวไกล อย่างไรบ้าง โดย นายพิธา กล่าวว่า เห็นว่าทำได้อย่างเต็มที่ แต่มีเรื่องที่ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ และพยายามมีการเทรนทั้งกรรมาธิการ หรือสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมถึงท้องถิ่นที่เราชนะมาแล้ว การจะทำให้การเมืองเป็นเรื่องสนุกจึงเป็นที่มาที่ทำให้จัดงานเป็น Policy รวมกับ Festival
นายวีรยุทธ กล่าวเสริมว่า งาน Policy Fest ครั้งที่ 1 จัดขึ้นเพื่อรวบรวมนโยบาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องยาก คนอาจเข้าไม่ถึงและเป็นการสื่อสารทางเดียว พรรคก้าวไกลจึงอยากจัดในรูปแบบมหกรรมที่อยากให้คนได้มีส่วนร่วม และถือโอกาสครบรอบ 1 ปีภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่มีประชาชนตื่นตัวและออกมาใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งเป็นการตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างที่สังคมไทยคาดหวังแล้วหรือยัง พรรคก้าวไกลจะทำให้เห็นว่าทุกองคาพยพทำอะไรไว้บ้าง ทั้ง สก. สส. แยกรายประเด็นถึง 6 ประเด็น ให้ผู้สนใจเข้าไปเรียนรู้และให้ความเห็น เสียงตอบรับต่อนโยบายต่างๆ ของพรรคด้วย และทำให้พรรครู้ว่าผู้คนให้ความสนใจกับประเด็นใด
...
ส่วนการจัดงานวันนี้ที่มีหลายคนมองว่าเป็นการจัดเพื่อชนกับงาน 10 เดือนที่ไม่รอ ไปต่อให้เต็ม 10 ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น นายวีรยุทธ กล่าวว่า งานนี้มีความตั้งใจให้เป็นหมุดหมายของการทำงานครบหนึ่งปีอยู่แล้ว มีการเตรียมงานมาค่อนข้างนาน หากไปดูขนาดงานที่จัดและรายละเอียดต่างๆ ก็จะพบว่าเป็นงานที่เตรียมมาล่วงหน้านานพอสมควร
เมื่อถามย้ำว่าไม่ได้ตั้งใจจัดมาชนให้เกิดการเปรียบเทียบว่าถ้าวันนั้นเป็นรัฐบาลก้าวไกล วันนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไรใช่หรือไม่ นายพิธา ตอบว่า เราคิดว่ามี 6 ระเบิดเวลาของประเทศไทย ที่หากรัฐบาลตั้งใจทำงาน และมีวาระเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้ระเบิดเวลาเหล่านั้นกลายเป็นศักยภาพที่ดีได้ ซึ่งได้เคยพูดเรื่องนี้ในการอภิปรายมาตรา 152 ไปแล้ว ว่าเมื่อฟังรัฐบาลแล้วไม่พบว่ารัฐบาลมีวาระอะไร วันนี้จึงเป็นการแสดงว่าพรรคก้าวไกลมีวาระอะไร เมื่อเราเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก เราก็มีวาระ แต่หากเราได้เป็นรัฐบาลเราก็จะมีวาระของเรา เพราะหากรัฐบาลไม่มีวาระ ก็จะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทาง
ขณะที่คำถามว่า เป็นการจัดงานเพื่อใช้งบประมาณทิ้งทวนก่อนพรรคจะโดนยุบหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า เรายังสู้คดีเต็มที่ และไม่ตีตนไปก่อนไข้ เราจัดงานเพราะครบ 1 ปีเลือกตั้ง ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าพรรคจะโดนยุบหรือไม่ยุบ เช่นเดียวกับที่มีคนบอกว่ามีประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 18-19 มิถุนายน 2567 จะตรงกับวันที่พรรคโดนยุบ ตนเองก็ยังต้องเตรียมตัวอภิปราย พ.ร.บ.ประชามติ หรืองบประมาณแผ่นดินอย่างเต็มที่ที่สุด เรื่องนี้ไม่ทำให้เสียสมาธิในการทำงาน
สำหรับเหตุผลที่จัดตรงกับวันครบรอบการกระชับพื้นที่กลุ่ม นปช. 19 พฤษภาคม 2553 แฝงนัยใดหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม มีวันประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยเยอะ หากไปจัดในวันที่ 22 พฤษภาคน ก็จะตรงกับวันรัฐประหาร ส่วนที่จัดวันที่ 19 พฤษภาคม นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังไม่อยู่ในช่วงเช้า เพราะไปทำบุญให้กับผู้สูญเสียที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งการคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียพี่น้องคนเสื้อแดง เป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคก้าวไกลด้วย
นายพิธา ยังได้กล่าวถึงคลิปครบรอบ 1 ปีเลือกตั้งใหญ่แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ที่ทำออกมาเพื่อจะสื่อให้เห็นว่า 1 ปีหลังการเลือกตั้ง ประเทศมีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน และเรื่องราวในคลิปที่ได้เผยแพร่ไปก็สื่อให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลยังไม่หยุดทำงาน และยังเชื่อว่าพลังของก้าวไกลจะถูกส่งต่อและเรียกความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนในการเลือกตั้งนายก อบจ. และเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในเร็วๆ นี้
จากนั้น นายพิธา ขึ้นปาฐกถาเปิดงาน “Why 6 Big Bang” ว่า เราอยากเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก เป็นวันพิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคอื่น และเรามีโปรเจกต์และวาระของการเมือง 6 อย่าง แต่หากปล่อยทั้ง 6 อย่างไว้จะเป็นระเบิดเวลาทางการเมือง วันนี้มารวมตัวกันในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนที่มีความรู้สึกปนเปกันไป บางปีบางช่วงของประวัติศาสตร์ประเทศไทยเดือนพฤษภาคมคือเดือนแห่งความขมขื่น บางปีก็เป็นเดือนพฤษภาแห่งความหวัง บ้างก็เป็นพฤษภาแห่งความกลัว ไม่ว่าจะเป็นพฤษภาทมิฬ หรือพฤษภามืด หรือพฤษภาอัปยศ
แต่ก็ไม่ได้มีแต่พฤษภาแห่งความกลัว พฤษภาแห่งความหวังก็มี 14 พฤษภาคมของปีที่แล้ว วันที่ 14 ล้านหัวใจของประเทศไทยรวมกันเป็นหัวใจหนึ่งเดียว ที่อยากเห็นการเมืองดี ปากท้องดีมีอนาคต การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนทั่วประเทศไทยและทั่วโลกออกมาเลือกตั้งด้วยความหวัง ถือการเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด บริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด และพรรคก้าวไกลก็ชนะมาด้วยความบริสุทธิ์ ไม่ได้ซื้อเสียงแม้แต่บาทเดียว
ขณะที่สุดท้ายการจัดตั้งรัฐบาลของก้าวไกลก็ไม่ประสบความสำเร็จ เดือนพฤษภาคมจึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่มีทั้งหวานและขมผสมกันไป จนมาถึงวันนี้ (19 พฤษภาคม 2567) ที่เป็นพฤษภาแห่งความกลัวและเศร้า เพราะเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง ทะลุวัง นักเคลื่อนไหวทางสังคมได้เสียชีวิตลงด้วยการอดอาหาร เรียกร้องสิทธิของตัวเองในการขอประกันตัว เสียชีวิตเพราะความเห็นต่างทางการเมือง
ทั้งนี้ อยากถามประชาชนว่าตั้งแต่พฤษภาคมปี 2566-2567 การเมืองไทยดีขึ้นหรือไม่ ซึ่งเสียงที่อยู่ในฮอลล์ตะโกนว่า ไม่ดีขึ้น นายพิธา ยังบอกอีกว่า ช่วง 1 ปีที่ทั่วโลกมองการเมืองไทยประสิทธิภาพของรัฐบาลปีก่อน กับประสิทธิภาพของรัฐบาลปีนี้ของประเทศไทยตกลง 4 อันดับ การคอร์รัปชันอยู่ที่อันดับ 108 ส่วนดัชนีความเป็นประชาธิปไตย ตกจากอันดับ 55 มาอยู่ที่ 63 จากการที่มีการเลือกตั้งแล้วถูกสกัดด้วยสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
นายพิธา ถามต่อ ในระยะระยะเวลา 1 ปี ปากท้องของประชาชนดีขึ้นหรือไม่ ประชาชนบอกเหมือนเดิมว่า ไม่ดีขึ้น นายพิธาพูดต่อไปว่า ตนจะไม่เอาข้อมูลหรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแรงงานหรือพ่อค้าแม่ค้าที่ต่อสู้หาเช้ากินค่ำ เพราะไม่ว่าจะปีไหนก็ลำบากอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ที่จะช่วยเขา แต่จะสื่อสารกับคนชั้นกลาง ตลาดหุ้นตั้งแต่มีรัฐบาลชุดนี้เข้ามาหายไป 2 ล้านล้านบาท ทุกดัชนีความเชื่อมั่นตกลงเป็นอย่างมาก แม้แต่ระดับเศรษฐีปากท้องของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น และ 1 ปีประเทศไทย อนาคตก็ยังไม่ดีขึ้น รวมถึงการให้การศึกษากับเด็กและเยาวชน ที่ยังดูเหมือนจะมีเท่าเดิม
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า ยังบอกอีกว่า ถ้าฝ่ายค้านตั้งใจทำงานอาจจะทำงานดีกว่ารัฐบาลด้วยซ้ำ 6 Big Bang ของประเทศไทย ที่ถ้าเราทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลา แล้วคนรุ่นต่อไปจะต้องมาแก้ไข แต่ถ้ารัฐบาล พรรคการเมือง หรือผู้นำ เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ พอที่จะสามารถลงทุนกับประชาชนให้มีความเข้มแข็ง และมีความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ถ้าบอกว่าวาระการทำงานของรัฐบาลคืออะไร ตนนึกไม่ออก แต่ก็ไม่อยากเป็นคนที่ค้านทุกเรื่อง หากพรรคตัวเองไม่มีวาระ ถ้าเป็นแบบนั้นตนก็รับไม่ได้เหมือนกัน แล้วอะไรคือวาระทางการเมืองของคุณที่จะเอาภาษีของพี่น้องประชาชน เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก
“คราวหน้าต้อง 270 เสียงซะแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน”
ถ้าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ก็สามารถพูดได้ และเข้ามีส่วนร่วมได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ข้อ แบ่งเป็น วาระเฉพาะหน้า คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ, เรียนรู้ทันโลก และยกระดับคุณภาพชีวิต ส่วนวาระเฉพาะกาล คือปลดล็อกชนบทไทย, ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ และประชาธิปไตยเต็มใบ แทนที่จะคิดนโยบายโดยเอากระทรวงมาเป็นตัวตั้ง โดยไม่เกิดการบูรณาการ เราต้องคิดแบบเอาวาระเป็นตัวตั้ง ให้หลายกระทรวงมารวมเป็นวาระเดียวกันได้ ไม่ต้องต่างคนต่างทำ ตอนที่เป็นไทยแลนด์ 4.0 ทุกกระทรวงของบประมาณมาสร้างถนน ขอสัมมนาภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 แต่ละกระทรวงต่างคนต่างคิดแล้วก็มารวมกัน ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ใต้ซอฟต์พาวเวอร์ ทุกอย่างเป็นซอฟต์พาวเวอร์หมดเลย ก็เปลืองภาษีของท่าน ถึงต้องเอาปัญหาของประชาชนและประเทศมาเป็นที่ตั้ง
อย่างไรก็ตาม นายพิธา ยังระบุด้วยว่า เรามาเดินทางไปด้วยกัน แม้ว่าเขาจะทำอะไรกับพรรคเรา เขาก็ทำลายจิตวิญญาณของพวกเราไม่ได้ แม้ว่าเขาพยายามจะทุบทำลายพรรคการเมืองของเราไปหรือจะไม่ทุบก็แล้วแต่ เราจะหยิบอิฐกันคนละก้อนแล้วมาสร้างบ้านหลังใหม่ของพวกเราไปด้วยกัน ผมอยู่กับพวกคุณแน่นอน
สำหรับกิจกรรมของพรรคก้าวไกลที่จัดในวันนี้ได้มีการจัดบูธไว้หกบูธโดยเป็นการสื่อความหมาย 6 ความหวังของประชาชน และยังมีการแจกหนังสือ 6 Big Bang ถอดชนวน 6 ระเบิดสร้างประเทศไทยก้าวไกลกว่าเดิม ซึ่งประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ต่างต่อแถวเพื่อที่จะรับหนังสือเพื่อให้แกนนำของพรรคก้าวไกลเซ็นชื่อให้.