“ภูมิธรรม” เสียใจ ข้าว 10 ปีถูกด้อยค่าด้วยอคติ ชี้ ตั้งใจสะสางงานนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศ แต่กลับถูกแปรเจตนาเป็นอื่น ย้ำ ข้อเท็จจริงจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยตรวจพบข้าวรัฐที่นำออกประมูลขายมีสารปนเปื้อนในระดับอันตรายต่อสุขภาพ

เมื่อเวลา 13.48 น. วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีความเคลื่อนไหวผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระบุถึงรายงานข่าวที่มีผู้กล่าวอ้างว่า ได้ทำการตรวจสอบข้าวสารในโกดังโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะนำออกประมูลขายและอ้างว่าตรวจพบสารก่อมะเร็ง ว่า ข้อเท็จจริงจากอดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยตรวจสอบพบว่าข้าวของรัฐที่นำออกประมูลขายมีสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเลย และไม่เคยมีรายงานจากการวิเคราะห์วิจัยว่าการเก็บข้าวและจำนวนปีการเก็บข้าว ทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากมีการเก็บรักษาที่ถูกต้องตามมาตรฐาน

ยิ่งในปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีมีความทันสมัยมากขึ้น ทำให้กระบวนการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนทำการนำออกจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ แต่ละครั้งจะมีการนำข้าวไปขัดสี ปรับปรุงเมล็ดข้าวจนเข้าเกณฑ์ food safety ตามมาตรฐานสากลเสียก่อน จึงสามารถทำการส่งออกหรือกระจายสู่ผู้บริโภคได้ ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่ประกอบธุรกิจค้าขายข้าว และสมาคมข้าว ก็ต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ โดยมีระบบในการตรวจสอบสินค้านำเข้าของเขาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ระดับมาตรฐานโลก เข้าทำการตรวจสอบสินค้าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนปกติ

นายภูมิธรรม ระบุต่อไปว่า กรณีสารก่อมะเร็งที่มีการอ้างถึงนี้ ส่วนใหญ่จะพบในรำข้าวที่เกาะอยู่ในเมล็ดข้าวโดยยังไม่ได้มีการปรับปรุง หากมีการปรับปรุงเเละขัดสีแล้ว สารตัวนี้จะมีปริมาณลดลงกว่านี้มาก จนอยู่ในปริมาณที่ปลอดภัยต่อการบริโภค 

...

“ในฐานะที่ผมเป็น รมว.กระทรวงพาณิชย์ เจตนาผมเพียงต้องการนำเอาข้าวที่ตกค้างอยู่ในสต๊อก 2 โกดังสุดท้ายออกมาประมูล เพื่อนำรายได้กลับคืนคลัง ดีกว่าปล่อยให้ค้างเน่าเสีย (จริงๆ) จนไม่มีราคา การประมูลข้าวครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ไม่มีอำนาจไปกำหนดว่าเอกชนที่ชนะการประมูลจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร” 

ทั้งนี้ เท่าที่ทราบ นอกจากธุรกิจส่งออกข้าวเก่า ซึ่งมีตลาดในแถบแอฟริกาใต้แล้ว โรงงานกลั่นสุราก็ให้ความสนใจ การเปิดให้มีการพิสูจน์ข้าวครั้งนี้ เจตนาตนเพียงต้องการที่จะสะสางปัญหาที่คั่งค้างอยู่อย่างโปร่งใส จึงเชิญทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ตรวจสอบข้าวตามมาตรฐานสากล เจ้าของโรงสี และผู้ประกอบการการค้าข้าวที่มีประสบการณ์ในการตรวจข้าว สื่อมวลชนไม่จำกัดสำนักจำนวนกว่า 30 ราย มาทำหน้าที่พิสูจน์ความจริงให้ประชาชนทราบ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการจังหวัดที่เป็นหัวหน้าหน่วยราชการประจำจังหวัด

แต่เนื่องจากข้าว 2 โกดังนี้ มีการเก็บมานานเป็นเวลาประมาณ 10 ปี ตนได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของโกดังเก็บข้าวนี้ว่า ข้าว 2 กองนี้เป็นข้าวของรัฐ ปล่อยให้เขาเก็บรักษานานนับ 10 ปีแล้วไม่ทำอะไรให้มีความคืบหน้า ประเทศชาติก็จะเสียประโยชน์ อีกทั้งเจ้าของโกดังที่เป็นผู้เก็บรักษาข้าวก็เสียโอกาสในการนำโกดังข้าวไปทำมาค้าขาย กระแสข่าวที่ออกมาให้ร้ายประเด็นต่างๆ ยังขาดความเข้าใจกระบวนการเก็บข้าว การประมูล การตรวจสอบคุณภาพข้าว และการส่งออกของประเทศ ซึ่งเป็นกลไกกระบวนการที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทำงานร่วมกันภายใต้มาตรฐานที่กำหนด ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจกระทำการโดยลำพังเพื่อผลประโยชน์ของใคร

“ผมมีความเสียใจอย่างยิ่ง ที่การตั้งใจสะสางงานในหน้าที่ให้แล้วเสร็จเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวมในครั้งนี้ กลับถูกแปรเจตนาเป็นอื่น และใช้อคติหรือการแบ่งฝักฝ่ายมาด้อยค่าคุณภาพข้าวไทย จนก่อให้เกิดกระแสความไม่ไว้วางใจในคุณภาพสินค้าข้าวของไทย ผมขอเสนอให้ใช้ข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้อง วิเคราะห์อย่างเป็นธรรมว่า กระบวนการซื้อขายข้าวที่จะนำมาประมูลเป็นไปตามระบบและกระบวนการที่ควรจะเป็น จะเกิดผลดีต่อประเทศชาติมากกว่าหรือไม่ เพราะกระบวนการตรวจสอบตามระบบมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามหลักสากลอยู่แล้ว” 

ในช่วงท้าย นายภูมิธรรม ยังระบุด้วยว่า เรื่องข้าว 10 ปี หากวิพากษ์วิจารณ์โดยมีอคติทางการเมืองและจินตนาการมาชี้นำความจริง จนกลายเป็นการด้อยค่าข้าวไทย จนทำให้ประเทศเสียประโยชน์ ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนในสังคมไทยไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น และยังอยากเชื่อโดยสุจริตว่าทุกท่านคงไม่อยากเห็นการสร้างวาทกรรมเปลี่ยนข้าวดีเป็นข้าวเน่า ทำให้รัฐเสียประโยชน์มหาศาลอย่างที่แล้วมา.