“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เตือนนายกฯ ยุทธศาสตร์การทูตไม่ควรพูดออกสื่อ หลังให้ข่าวรัฐบาลเมียนมาอ่อนกำลัง อัดรัฐบาลแจงปมสนามบินแม่สอดไม่ตรงกัน หวั่น “ชักศึกเข้าบ้าน” เหน็บ แก้ฝุ่นพิษต้องใช้รัฐบาล ไม่ใช่รอฝน ถามย้ำไม่ประกาศภัยพิบัติเพิ่มหลังฝุ่นสะสม 50 วัน จะให้ ปชช.อยู่ตามยถากรรมหรือ

วันที่ 9 เม.ย. 2567 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีท่าทีรัฐบาลต่อการที่ทางการเมียนมาขอใช้สนามบินแม่สอด ว่า อย่างที่ตนได้สื่อสารไปหลายทิศทางว่าอยากเห็นความโปร่งใสและรายงานสถานการณ์ให้กับคนในพื้นที่ เพราะคนที่อยู่ในพื้นที่ก็ได้รายงานมาที่ สส.พรรคก้าวไกล นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าจะมีการใช้ความรุนแรงเพิ่มเติม ซึ่งพอรัฐบาลไม่ได้มีการชี้แจง ทางตนและพรรคก้าวไกลจึงตั้งคำถามให้มีการแถลงเกิดขึ้น โดยรัฐบาลได้ตอบสนองมาทั้งหมด 4 ครั้ง ได้แก่ X ของนายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ, คำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี และโฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งทั้งหมดนี้ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน 

ในส่วนของภาพใหญ่ก็อยากจะย้ำสิ่งที่พูดกับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากให้เข้าสู่ปัญหาอย่างรอบด้านมากขึ้น เพราะกลุ่มในประเทศเมียนมามีหลายกลุ่ม และแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันออกไป ถ้าเข้าสู่ปัญหาไปที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็จะดูว่าเราทิ้งน้ำหนักไปให้ฝั่งนั้น และจะไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ อย่างที่สอง เป็นเรื่อง Inter Agency Myanmar Task Force ในประเทศไทย หรือกองกำลังเฉพาะกิจที่จัดการเรื่องนี้โดยตรง เพื่อจะทำงานในเชิงรุกมากขึ้น

เมื่อถามย้ำว่านายปานปรีย์ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า ในเที่ยวบินนั้นไม่มีคนหรืออาวุธ แต่ก็ยังไม่ตรงกับการให้สัมภาษณ์และแถลงของส่วนที่เกี่ยวข้องเมื่อวาน จะทำให้เกิดปัญหาหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก็จะยิ่งไม่มีความชัดเจน บางทีจุดประสงค์ของการแถลงที่กระทรวง ก็เพื่อจะลดข่าวลือ เพื่อจะให้ความมั่นใจกับประชาชนในพื้นที่และคนไทยว่าประเทศไทยจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง 

...

นายพิธา ยังนับนิ้วคนที่ออกมาชี้แจง พร้อมกล่าวว่านายปานปรีย์ก็เป็นคนที่ 5 ที่ออกมาพูดแล้วไม่ตรงกัน ทำให้เกิดความสงสัยว่ามีสิ่งที่ร่ำลือกันในพื้นที่ว่ามีคนในจังหวัดเมียวดีไปด้วยหรือไม่ มีผู้จัดการธนาคารไปหรือไม่ ซึ่งตนก็ไม่ได้เชื่อ แต่ถ้าจะจบทุกเรื่อง รัฐบาลจะต้องแถลงเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า น่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ตามมา ในเชิงการต่างประเทศเราต้องมีช่องทางที่ไม่ให้เกิดสิ่งที่ลุกลาม ซึ่งตนคิดว่านายปานปรีย์น่าจะเข้าใจ ถ้าไม่แถลงให้ชัดเจนก็อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากกว่านี้ ย้ำว่า รัฐบาลควรต้องต่อสายไปที่คนในพื้นที่ ชนกลุ่มน้อย และกลุ่ม NUG 

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่าช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปพูดคุยเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมา เพราะอาจจะเป็นจุดที่เขาอ่อนกำลัง นายพิธา ระบุด้วยท่าทีตกใจว่า ตนเห็นด้วย แต่ไม่น่าออกสื่อ เรื่องพวกนี้เป็นยุทธศาสตร์การทูต ไม่ควรจะพูดว่าเขากำลังอ่อนแอ แล้วเราจะขอไปคุยกับเขา

นอกจากนี้ นายพิธา ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาฝุ่นควันในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ โดยระบุว่า คำพูดที่ว่าฝนมาแล้วจะดีขึ้น แต่จริงแล้วเราต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือ ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ฝน ซึ่งตนก็เห็นใจผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งยังมีการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติจาก 5 อำเภอเพิ่มอีก 2 อำเภอ (รวม 7) แต่พื้นที่วิกฤติฝุ่นนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด จึงอยากตั้งคำถามว่าเงื่อนไขใดที่จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติได้ ไม่ใช่ใช้ดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด นอกจากนี้รัฐบาล ควรสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนว่าเมื่อประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว การจัดสรรงบประมาณและการแก้ไขปัญหาจะเป็นไปในทิศทางใด ประชาชนเองก็อาจจะได้เป็นส่วนร่วมในครั้งนี้ อีกทั้งจังหวัดอื่นๆ ทำไมถึงยังไม่ประกาศภัยพิบัติ จะปล่อยให้ประชาชนอยู่ตามยถากรรมแบบนั้นหรือไม่ 

“เมื่อครั้งลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ตนได้เสนอให้รัฐบาลประกาศพื้นที่ภัยพิบัติตั้งแต่ช่วงนั้น เพราะปัญหาฝุ่นเกินมาตรฐานกว่า 22 วันติดกัน รวมกับรอบนี้ที่สะสมอีก 28 วัน รวมกันครบ 50 วันแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังไม่ประกาศเพิ่มเติม”