“จักรภพ เพ็ญแข” เผย 28 มี.ค.นี้ เตรียมเดินทางกลับไทยไปรับใช้บ้านเมือง ด้าน “ทนายวิญญัติ-หมอพงษ์ศักดิ์” แสดงความยินดี พร้อมขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

วันที่ 27 มีนาคม 2567 เมื่อเวลา 11.21 น. (ตามเวลาประเทศไทย) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ลี้ภัยในต่างแดน มีความเคลื่อนไหว โดยโพสต์ภาพผ่านเฟซบุ๊กและมีข้อความระบุว่า “พฤ. 28 มี.ค. 67 เวลา 07.35 น. จักรภพ เพ็ญแข กลับไปรับใช้เมืองไทยครับ” 

ทั้งนี้ พบว่ามี นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ขอให้ท่านจักรภพ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ” นพ.พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ ก็เข้ามาระบุว่า “ดีใจด้วยครับ” รวมถึงมีหลายคนเข้ามาแสดงความยินดีที่ นายจักรภพ จะกลับมายังประเทศไทยในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งยังเป็นอดีตผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี อดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์ อดีตนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้เปลี่ยนแปลงการบริหารงานสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย โดยหลังจากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 นายจักรภพ พร้อมด้วยกลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี และองค์กรต่อต้านเผด็จการ เป็นแกนนำจัดเวทีปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ท้องสนามหลวง ใช้ชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)

...

กระทั่งต่อมา ภายหลังพรรคพลังประชาชน ชนะการเลือกตั้งในปี 2550 โดยมีนายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ นายจักรภพ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลสื่อมวลชนภาครัฐ และในวันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกัน นายจักรภพ เป็นประธานในการเปลี่ยนแปลงสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 เป็น สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดรัฐประหาร ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 49/2557 เรียกให้ นายจักรภพ ไปรายงานตัว แต่เจ้าตัวไม่ได้ไปตามคำสั่ง ศาลทหารจึงออกหมายข้อหาฝ่าฝืนการไปรายงานตัว ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เป็น 1 หมายจับ และวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558 อีก 1 หมายจับ ข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง และในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ศาลอาญาได้ออกหมายจับในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายและเป็นอั้งยี่