"ประเดิมชัย" อดีต สส.กทม. จี้ "ชัชชาติ" ตรวจสอบโครงการเช่ารถ EV เก็บขยะของ กทม. มูลค่าเฉียด 4 พันล้านบาท เผย พิรุธอื้อ สงสัยอาจมีล็อกสเปก เชื่อ จัดหารถไม่ทันกรอบเวลา หวั่น ซ้ำรอยค่าโง่ "รถ-เรือดับเพลิง"
วันที่ 26 มี.ค. นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ อดีต สส.กทม. เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นหนังสือถึง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) เพื่อขอให้ตรวจสอบโครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยพลังงานไฟฟ้าของ กทม. จำนวน 4 โครงการ รวม 842 คัน เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากข้าราชการของ กทม. ว่า มีความอึดอัดไม่กล้าทำงาน เพราะเกรงว่า หากดำเนินการไปแล้วจะมีปัญหาตามมา เนื่องจากการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดราคากลางของโครงการ ที่มีความไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ต้น
นายประเดิมชัย กล่าวต่อว่า จากข้อมูลที่ได้รับพบว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้ส่งเอกสารไปยังบริษัทต่างๆ จำนวน 35 บริษัท เพื่อขอให้ส่งใบเสนอราคาเช่ารถเก็บขนมูลฝอยแบบอัดขนาด 5 ตัน มาเพื่อประกอบการกำหนดราคากลางของโครงการฯ ปรากฏว่า มีเพียง 2 บริษัท ที่ส่งเอกสารกลับมา ทำให้ไม่สามารถกำหนดราคากลางได้ เพราะตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ระบุว่าการกำหนดราคากลางที่ไม่มีการกำหนดไว้ในบัญชีมาตฐานครุภัณฑ์ต้องมีข้อมูลเปรียบเทียบอย่างน้อย 3 บริษัท
...
อย่างไรก็ตาม กลับมีการแจ้งคณะกรรมการฯ ว่า มีบริษัทที่ 3 ส่งรายละเอียดใบเสนอราคามาให้โดยตรง และนำมาประกอบการกำหนดราคากลาง ซึ่งตนมองว่าเป็นความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง เพราะหากเอกชนจะให้ความร่วมมือก็ต้องทำหนังสือตอบรับมาที่คณะกรรมการฯ ไม่ใช่ประสานไปที่ตัวบุคคลอย่างที่เกิดขึ้น
นายประเดิมชัย ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ยังได้ขอข้อมูลเฉพาะตัวพลังงานรถไฟฟ้า ที่กำหนดขนาดของตัวรถไว้ที่ GVW 15 ตัน และ 8.5 ตัน โดยมี 2 บริษัท ที่ให้ข้อมูลตัวรถพร้อมตัวถัง แต่มี 3 บริษัท ที่ส่งข้อมูลเฉพาะตัวรถ โดยไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวถังให้กับคณะกรรมการฯ จึงมีคำถามว่า เมื่อข้อมูลไม่ครบถ้วนเช่นนี้ คณะกรรมการฯ สามารถกำหนดรายละเอียดตัวรถพร้อมตัวถังได้อย่างไร
“อยากให้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ตรวจสอบที่มาของข้อมูลในการกำหนดราคากลางของโครงการนี้ว่า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อเสนอของบริษัทต่างๆ มีความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ถือเป็นผู้มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีส่วนได้เสียทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันหรือไม่ด้วย” นายประเดิมชัย ระบุ
นายประเดิมชัย กล่าวด้วยว่า โครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยพลังงานไฟฟ้าของ กทม.ที่ดำเนินการครั้งนี้มีทั้งสิ้น 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยแบบอัด ขนาด 2 ตัน จำนวน 152 คัน มูลค่า 658,075,792 บาท, 2. โครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยแบบอัด ขนาด 5 ตัน จำนวน 464 คัน มูลค่า 2,372,339,200 บาท, 3. โครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยแบบยกภาชนะรองรับมูลฝอย ขนาด 3 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 102 คัน มูลค่า 387,776,664 บาท และ 4. โครงการเช่ารถเก็บขนมูลฝอยแบบยกภาชนะรองรับมูลฝอย ขนาด 8 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 124 คัน วงเงิน 575,569,808 บาท มูลค่ารวม 3,993 ล้านบาทเศษ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากรถเก็บขยะเดิมจะทยอยหมดสัญญาเช่าช่วงปลายปี 2567 ที่จะถึงนี้
“ด้วยเงื่อนเวลาที่รถเก็บขยะเดิมจะหมดสัญญาเช่า ทำให้ต้องเร่งรีบดำเนินการ แต่ด้วยความเป็นของใหม่ยังไม่เคยมีการใช้รถเก็บขยะพลังงานไฟฟ้าใช้มาก่อน ทำให้หลายอย่างไม่ลงตัว จึงต้องการให้ตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบว่า สามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ เพราะไม่อยากให้ กทม. ต้องเสียหายกว่า 4 พันล้านบาท หรือต้องมาฟ้องร้องเรียกค่าโง่คืนเหมือนโครงการรถและเรือดับเพลิงของ กทม.ในอดีต” นายประเดิมชัย กล่าว
นายประเดิมชัย ยกตัวอย่างด้วยว่า ตามรายละเอียดของโครงการมีการจัดหารถเก็บขนมูลฝอยแบบอัด ขนาดความจุ 5 ตัน แต่ในความเป็นจริงรถประเภทนี้ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้ไม่สามารถบรรทุกขยะในปริมาณ 5 ตันได้ ต้องลดขนาดของรถให้เล็กลงมาเพื่อบรรทุกขยะให้ได้ 5 ตันตามที่กำหนด ด้วยวีธีลดขนาดถังอัดจากใช้เหล็ก 4 มิลลิเมตร เหลือ 3 มิลลิเมตร แต่พอเอาเข้าจริงในการทดลองใช้ก็ไม่สามารถใช้การได้จริง เรื่องนี้เคยมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) นำเรื่องไปสอบถามในสภา กทม. ได้รับคำตอบจาก รองผู้ว่าฯ กทม. ว่า สเปกรถเหมือนเดิมทุกอย่าง เว้นแต่พลังงานที่เปลี่ยนจากการสันดาปน้ำมันมาเป็นพลังงานไฟฟ้า แต่สุดท้ายเมื่อไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง เพราะไม่สามารถบรรทุกขยะได้ตามที่ กทม.ต้องการ จึงต้องตรวจสอบสเปกของทั้งถังอัดขยะ ขนาดแบตเตอรี่ เพราะไม่ต้องการให้ กทม. ต้องเสียหายไปกว่า 4 พันล้านบาท โดยเปล่าประโยชน์ ท้ายสุดถ้ารถที่ได้มาไม่สามารถใช้งานได้จริงจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บขยะและส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชน
“ข้อมูลที่ผมได้รับมา ทำให้สงสัยว่า มีการเขียนโครงการในลักษณะล็อกสเปกหรือไม่ และมีผู้มีส่วนได้เสียเข้ามาในกระบวนการศึกษาโครงการนำรถขยะไฟฟ้ามาทดแทนรถน้ำมัน ทำได้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่ ที่สำคัญตามระยะเวลาที่ต้องจัดหารถขยะพลังงานไฟฟ้ามาทดแทนรถขยะชุดเดิมที่จะหมดสัญญาภายในปลายปี 2567 นี้ ถ้าดูตามกรอบเวลา ผู้ประกอบการคงไม่สามารถจัดหารถมาส่งมอบได้ทัน นอกเสียจากรู้ว่าจะชนะการประมูล และสั่งรถมาสำรองไว้ล่วงหน้าแล้ว” นายประเดิมชัย ระบุ.