ประชุมวุฒิสภา “สว.สถิตย์” ร่วมอภิปราย 5 ด้าน ตั้งคำถามถึงเศรษฐกิจ การเติบโตอย่างทั่วถึง ซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลดิจิทัล การพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

วันที่ 25 มีนาคม 2567 ในการประชุมวุฒิสภา วาระการเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 153 นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้อภิปรายให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริง 5 ด้าน ดังนี้

ด้านที่ 1 การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นายสถิตย์ แสดงข้อเท็จจริงว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น คือร้อยละ 3.5 การลงทุนที่ผ่านมาเป็นยักษ์หลับในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเห็นได้จากสัดส่วนการลงทุนในงบประมาณ และสัดส่วนการลงทุนรวมใน GDP ไม่เพียงพอ อีกทั้งด้านการส่งออกซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปรากฏว่าสินค้าส่งออกกลายเป็นเครื่องจักรเก่าทางเศรษฐกิจ เป็นสินค้าล้าสมัยไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดโลกในปัจจุบัน ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมตั้งคำถามว่า รัฐบาลจะมีนโยบายเชิงโครงสร้าง ทำให้เศรษฐกิจโตเต็มศักยภาพ หรือมากกว่านั้นได้อย่างไร

ด้านที่ 2 การเติบโตอย่างทั่วถึง การเติบโตที่ดีต้องเป็นธรรมและทั่วถึง ทั้งมิติค่าสัมประสิทธิ์ความเสมอภาค มิติรายได้ มิติรายจ่าย และมิติเชิงพื้นที่ซึ่ง 15 จังหวัดขนาดใหญ่มีสัดส่วนใน GDP ถึงร้อยละ 70 ขณะที่อีก 62 จังหวัดที่เหลือ มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 30 นอกจากนี้ ระเบียงเศรษฐกิจทั้ง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง-ภาคตะวันตก และภาคใต้ ยังขาดการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายจะพัฒนาพื้นที่และเมืองให้เกิดการกระจายความเจริญ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาค พร้อมตั้งคำถามในประเด็นนี้ว่า รัฐบาลจะมีเป้าหมายในการลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ให้กับ 62 จังหวัดที่เติบโตน้อยได้อย่างไร และใน 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการผลักดันการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาคอย่างไร และมีแผนที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร 

...

ส่วนเรื่องการกระจายอำนาจการคลังสู่ท้องถิ่น ซึ่งมีเป้าหมายให้สัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร้อยละ 35 ของรายได้รัฐบาล แต่การจัดสรรรายได้ใน 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียงร้อยละ 29 ในขณะที่รัฐบาลมีนโยบายจะกระจายอำนาจเพื่อสร้างประสิทธิภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ รัฐบาลมีนโยบายและแผนที่จะจัดสรรรายได้ท้องถิ่นให้ถึงร้อยละ 35 ของรายได้รัฐบาลหรือไม่ อย่างไร

ด้านที่ 3 ซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ 11 สาขา ได้แก่ อาหาร, แฟชั่น, การออกแบบ, ศิลปะ, หนังสือ, ภาพยนตร์, เฟสติวัล, ดนตรี, ท่องเที่ยว, กีฬา และเกม จัดแบ่งเป็น 54 โครงการ งบประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง สร้างรายได้ 200,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี ซึ่งซอฟต์พาวเวอร์ตามตำรามี 3 เรื่อง คือ ค่านิยมการเมือง นโยบายต่างประเทศ และวัฒนธรรม ประเทศไทยคงต้องเน้นหนักไปทางด้านวัฒนธรรมสร้างสรรค์ เพื่อโน้มน้าวจูงใจให้ประเทศอื่นคล้อยตามโดยสมัครใจ อันเป็นลักษณะของซอฟต์พาวเวอร์หรืออำนาจนุ่มนวลที่ไม่ต้องใช้กำลังทหาร หรือการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ อย่างเช่นอำนาจแข็งกร้าว หรือฮาร์ดพาวเวอร์

สำหรับ 11 สาขาที่รัฐบาลจำแนกไว้ ต้องมองโดยรวมอย่างบูรณาการเพื่อสะท้อนความเป็นไทย ให้ประเทศอื่นหลงใหลยอมทำตามสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทย โดยไม่ต้องบังคับ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่ส่งเสริม Cool Japan ไม่ว่าจะเป็นอาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ ก็อยู่ในธีมของ Cool Japan หรือเกาหลีที่เน้นธีม Korean Wave หรือคลื่นเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น K-Drama K-Pop K-Culture ด้วยเหตุนี้ ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยจะต้องมุ่งเน้นไปที่ความเป็นไทย ส่วน 11 สาขา เป็นเพียงองค์ประกอบ 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะจัดตั้งองค์กรคอนเทนต์ที่เรียกว่า THACCA โดยให้ข้อคิดเห็นว่าต้องเป็นองค์กรในการพัฒนาระบบนิเวศ ทั้งในเรื่องการปลดปล่อยกฎระเบียบ การส่งเสริมเทคโนโลยี การพัฒนากองทุน การร่วมมือกับภาคเอกชน และการส่งออกวัฒนธรรม อีกทั้ง ซอฟต์พาวเวอร์ คือหนทางในการนำทุนทางวัฒนธรรมไปสู่ความสำเร็จในเวทีโลก พัฒนาวัฒนธรรมไทยให้มีความเป็นสากลระดับโลก เอารสนิยมความต้องการตลาดโลกเป็นที่ตั้ง และปรับความเป็นไทยให้สอดคล้องตลาดโลก ต้องตั้งเป้าหมายการส่งออกวัฒนธรรมสร้างสรรค์ให้เป็นรายได้หลักของประเทศ ต้องทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยโดดเด่นในโลกท่ามกลางคู่แข่งที่สำคัญ 

ส่วนที่รัฐบาลมีนโยบายจะสร้างพลังสร้างสรรค์หรือซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศและสร้างรายได้ผ่านการส่งเสริม 1 ครอบครัว 1 ทักษะซอฟต์พาวเวอร์ จึงตั้งคำถามว่า รัฐบาลมีนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ในการบูรณาการนโยบาย ซอฟต์พาวเวอร์ 11 สาขาอย่างไร และได้มีการพัฒนาทักษะ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ไปแล้วมากน้อยเพียงใด ผ่านกลไกหรือหน่วยงานใด และรัฐบาลจะดำเนินการจัดตั้ง THACCA เมื่อใด โดยวิธีการใด 

ด้านที่ 4 รัฐบาลดิจิทัล นายสถิตย์ อภิปรายต่อไปว่า ดิจิทัลเทคโนโลยี คือพลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว สร้างโอกาสมหาศาลให้กับรัฐบาลทั่วโลก สร้างความมั่นคงให้ประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ในขณะเดียวกันก็ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่รัฐบาลต้องผลักดันคือ บัตรประชาชนดิจิทัลและเป็นบัตรเดียวที่ใช้ยืนยันตัวตนในการติดต่อรับบริการภาครัฐ ทั้งสวัสดิการ การเงิน สุขภาพ การศึกษา การเดินทาง เป็นต้น ในเรื่องการใช้คลาวด์ รัฐบาลต้องผลักดันแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ ของภาครัฐ ให้เป็นแพลตฟอร์มการทำงานยุคใหม่บนคลาวด์ และต้องให้แต่ละกระทรวงมีศูนย์กลางคลาวด์ที่เดียว ส่วนหน่วยงานเล็กๆ ให้รวมที่คลาวด์กลางของรัฐบาลเพื่อความเป็นเอกภาพ และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐลงไปได้มาก อีกทั้งควรจะรวมสำนักงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลดิจิทัลทั้งหมดมาไว้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายจะนำเอาเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน จึงขอถามว่า รัฐบาลจะผลักดันการใช้ดิจิทัลไอดี ให้ครบถ้วนทุกหน่วยงานภาครัฐ เมื่อใด อย่างไร และจะผลักดันให้บูรณาการ การใช้คลาวด์หรือไม่ อย่างไร และจะรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลมาไว้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่อย่างไร

สุดท้าย ด้านที่ 5 การพ้นกับดักรายได้ปานกลาง โดยยกตัวอย่าง ว่า อิตาลี ใช้อุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว และ SME ไต้หวัน เน้นอุตสาหกรรมไฮเทค และ SME ส่วนเกาหลี จากอุตสาหกรรมหนักไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้านมาเลเซีย มีวิสัยทัศน์ 2020 ใช้อุตสาหกรรมไฮเทคเป็นตัวนำ เวียดนามและอินโดนีเซีย ประกาศจะพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี ค.ศ. 2045 ครบ 100 ปี หลังจากได้รับเอกราช ส่วนประเทศไทย แต่เดิมมีวิสัยทัศน์จะก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี พ.ศ. 2580 แต่มาสะดุดกับสถานการณ์โควิด-19 คงต้องขยายเวลาออกไป รัฐบาลจะมีวิสัยทัศน์และเป้าหมาย ในการทำให้ประเทศพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางหรือไม่ อย่างไร และเมื่อใด