“สมชาย แสวงการ” อภิปรายรัฐบาล จี้นายกฯ เลิกกู้เงิน 5 แสนล้าน แจกโครงการเงินดิจิทัล ชี้จำนำข้าวก็มีบทเรียนแล้ว สุดท้ายคือคุก อัดกระบวนการยุติธรรมยุคนี้ไร้มาตรฐาน จี้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ป.ป.ช. สอบปม “ทักษิณ” พักโทษ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 มีนาคม 2567 ที่อาคารวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภา (สว.) เพื่อพิจารณาญัตติด่วน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 153 โดยนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้ลุกอภิปรายรัฐบาลในเรื่องปัญหา ดิจิทัลวอลเล็ต ว่า การเดินทางไปต่างประเทศของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บางเรื่องไม่มีความจำเป็น และมองว่าการเป็นเซลส์แมนแต่ขายของไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ เพราะการเดินทางไปต่างประเทศ โดยไม่มีการเรียกถกวงประชุมที่สำคัญในการเป็นประธานคณะต่างๆ ทำให้ประเทศเกิดสุญญากาศ ส่วนเรื่องงบประมาณ ปี 67 พบว่ามีการดำเนินการเสร็จสิ้นตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว จึงถือเป็นความผิดของรัฐบาลนายเศรษฐาเองที่ดึงไว้ จนเข้าที่ประชุมสภาล่าช้า อีกทั้งรัฐบาลยังหมกหมุ่นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต จึงขอให้เลิก อย่าดันทุรัง เพราะที่ผ่านมาโครงการจำนำข้าวก็มีบทเรียนแล้ว มีการติดคุก ตนเองจึงมองว่าการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทไม่เกิดประโยชน์ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างแน่นอน อีกทั้งคำคัดค้าน ไม่ว่าจะเป็น จาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารเอกชน ก็ที่ไม่มีใครเห็นด้วย และมองว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ

นายสมชาย ยังชี้ว่า ประเทศไทยยังติดกับดักประเทศกำลังพัฒนา มายาวนานถึง 40 ปี เพราะติดอยู่กับโครงการประชานิยม ที่แจกอย่างเดียว แต่ไม่สร้างนวัติกรรม จนทำให้หลายประเทศในเอเชียแทรงหน้า จึงอยากแนะนำ นายกรัฐมนตรี กู้เงิน 5 แสนล้านบาท มาอัปสกิล รีสกิล ยกระดับความรู้ประชาชนดีกว่า โดยตนเองพร้อมสนับสนุน แต่หากยังเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัล ตนเอง จะรวบรวมหลักฐานไปยื่นต่อ คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

...

“วิงวอนท่านครั้งสุดท้ายให้เลิก เพราะผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายทั้งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง และอาจขัดรัฐธรรมนูญ และผิด ที่สำคัญมากคือการสร้างหายนะให้กับประเทศในอนาคต” นายสมชายกล่าว

นายสมชาย ยังกล่าวอีกว่าตนเองขอให้คะแนนรัฐบาลสอบตกหมดทุกข้อ เพราะยังไม่แก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชน ทั้งหมดเป็นข้อเสนอแนะด้วยความหวังดี แต่หากยังต้องการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาแจก ถือว่ากำลังทำลายประเทศ

นายสมชาย ยังอภิปรายถึงกระบวนการยุติธรรม ที่พบว่ากำลังเสื่อมลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทั้งที่นายกรัฐมนตรี ก็ควบคุมหน่วยงานเหล่านั้นด้วยตนเอง ทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) รวมถึงโรงพยาบาลตำรวจ ที่สังคมกำลังมองว่า 2 มาตรฐานและไร้มาตรฐาน จึงฝากให้แก้ไข เพราะพบว่าระเบียบกรมราชทัณฑ์ ถูกเขียนให้เปลี่ยน จนเกิดช่องว่างทางกฎหมาย พร้อมเปิดคลิปนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อครั้งลงพื้นที่จ.เชียงใหม่ ที่นายสมชาย ระบุว่า นายทักษิณ ยังนั่งกราบพระ จับรถกอล์ฟเองได้ทั้งที่เอ็นหัวไหล่เปื่อย และการขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ แสดงว่านายทักษิณแข็งแรงแล้ว โดยที่ผ่านมาทางคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้เรียกกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์รพ.ตำรวจ มาชี้แจงแล้ว แต่ก็ยังอ้างว่าไม่สามารถเปิดเผยผลการรักษาได้ เพราะกฎหมายคุมครองส่วนบุคคล แม้จะมีข้อยกเว้นกับสภาฯ ป.ป.ช. และศาลก็ตาม รวมถึงระเบียบการอนุญาตพักรักษาตัวนอกเรือนจำที่ยังไม่ชัดเจน อีกทั้งยังมีการแก้ไขเรื่องอายุนักโทษในรับโทษ

“เรื่องนี้เป็นการสั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่ได้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะไม่มีสิทธิ์ แต่ประชาชนนั่นแหละครับจะไม่ไว้วางใจท่าน ความเสื่อมศรัทธานี้ ซึมลึกยาวนาน และที่ผมกังวลคือมันเกิดวิกฤติศรัทธา วันใดที่เกิดวิกฤติศรัทธา มันจะนำมาซึ่งสึนามิ แล้วมันจะแก้ไขยาก ผมอยากเห็นการแก้ไข และคนที่ต้องถูกดำเนินคดีคือฝ่ายรัฐ การเมืองที่ไปเอื้อประโยชน์” นายสมชาย กล่าว

นายสมชาย ยังกล่าวว่า เมื่อนายทักษิณ ได้รับพระราชทารอภัยลดโทษ เหลือ 1 ปีแล้ว ควรสนองในพระมหากรุณาธิคุณด้วยการรับโทษในเรือนจำ โดยไม่ขอพระราชทายอภัยโทษอีก จึงจะเรียกว่าสนองในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมขอเสนอต่อสังคมและผู้เห็นด้วยไปดำเนินการ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการขัดพระบรมราชโองการอภัยลดโทษหรือไม่ เพื่อนำตัวนายทักษิณกลับไปรับโทษ รวมถึงร้องต่อศาลปกครอง เรื่องการพักโทษเพื่อให้เพิกถอน และยื่นต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวง อธิบดีที่เกี่ยวข้อง ฐานละเมิดมาตรา 172 ของ ป.ป.ช. ว่าด้วยพนักงานผู้ใดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด ต้องละวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท รวมถึงพยานเท็จในระบบเวชระเบียนทางการแพทย์ด้วย