“เพื่อไทย” เต้นโต้ “เศรษฐา” วางคิวตรวจงานเชียงใหม่ ซ่อนเร้นปมการเมืองนัดพบ “ทักษิณ” โฆษกพรรคแจงนายกฯไปติดตามแก้ปัญหาฝุ่นพิษ ไม่ได้นัดหมาย พบอดีตนายกฯ แทงกั๊กโฉบไปเจอกันหรือไม่ “วิสุทธิ์” โวยเลิกจับผิด สส.แห่ไปหานายใหญ่ ก้าวข้ามเสียที หยุดโยงจุดพลุการเมือง “วรชัย” เผยเสื้อแดงนับพันรวมตัววัดโรงธรรมฯที่เดียว ขอแค่ได้แสดงพลังหนุนด้วยหัวใจ “วิโรจน์” หยัน “โทนี่-ปู” ไม่ได้อยู่ในสารบบคิดของ ก.ก. สนใจแต่ปมสิทธิพิเศษ แซะควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่อภิสิทธิ์ “เทพไท” ชี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ 2 ผู้นำเจอกัน เตือนอย่าย่ามใจ ท้าทายฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ “นายกฯ” ควง “อุ๊งอิ๊งค์” หิ้วผ้าขาวม้าไทย-กระเป๋ากระจูดอวดชาวโลก กล่อมบิ๊กห้างดังกรุงปารีส เปิดพื้นที่ให้สินค้าไทย จ่อหารือ “เอ็มมานูเอล มาครง” พร้อมจับเข่าคุยบิ๊กกลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่น

จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐ มนตรี ที่อยู่ระหว่างได้รับการพักโทษ มีกำหนดการจะเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.ใกล้เคียงกับช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง จะไปตรวจราชการที่ จ.เชียงใหม่ จนถูกจับตามองว่ามีประเด็นการเมืองที่ทั้งสองคนจะได้พบกัน

ดนุพร ปุณณกันต์
ดนุพร ปุณณกันต์

...


พท.แจงนายกฯไปดูฝุ่นพิษไม่ใช่นัด “ทักษิณ”

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 15-17 มี.ค.2567 ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อย่างใกล้ชิด หลังจากที่นายกฯใช้โอกาสที่เข้าร่วมประชุมในหลายเวทีพูดคุยกับผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นระยะ เนื่องจากนายกฯ มีความเป็นห่วงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อย่างมาก ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ศึกษาปัญหาฝุ่นที่ต้นตอเอาจริง เอาจังมาตลอด ตั้งแต่ก่อนเข้ามาเป็นรัฐบาล เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วได้ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ทันที ประชุมมอบนโยบายร่วมกับส่วนราชการมาตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย.66 และวันที่ 20 ม.ค.67 ยังได้ติดตามงานแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และทิ้งท้ายว่าจะมาติดตามสถานการณ์อีกครั้ง จึงเป็นการวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อติดตามแก้ปัญหาฝุ่น ไม่ใช่การนัดหมายพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตามที่หลายฝ่ายคาดเดา ให้ข้อมูลในแง่ลบ ทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาให้ประชาชนถูกเข้าใจคลาดเคลื่อน ส่วนตัวยังไม่ทราบนายทักษิณจะไป จ.เชียงใหม่ จริงหรือไม่ ยังไม่ได้ คุยกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

แทงกั๊กถือโอกาสโฉบพบอดีตนายกฯ

นายดนุพรกล่าวว่า อย่างไรก็ตามการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่น PM 2.5 ที่ จ.เชียงใหม่ แม้ไม่ได้นัดหมายพบนายทักษิณแต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีโอกาสพบกัน เพราะนายกรัฐมนตรีได้เคยเข้าพบเพื่อขอคำปรึกษากับนายทักษิณมาแล้วที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หากจะพูดคุยปัญหาเชิงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า ขอให้ประชาชนดูที่ผลสัมฤทธิ์ในความเอาจริง เอาจังแก้ไขบ้านเมืองของนายกรัฐมนตรี เรื่องฝุ่น PM 2.5 แม้ค่าฝุ่นยังสูงขึ้นเป็นบางช่วง แต่บางช่วง ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ค่าดัชนีฝุ่นลดลงเห็นได้ชัด ทั้งหมดมาจากการติดตามแก้ไขปัญหาของนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น

โวยหยุดจับผิด สส.ต้อนรับนายใหญ่

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษว่า ในส่วน สส.ไม่มีการคุยกันว่าใครจะเดินทางไปพบนายทักษิณในช่วงเวลาดังกล่าวบ้าง ในไลน์ สส.ไม่มีการคุยกันเรื่องนี้ แต่ใครจะเดินทางไปพบนายทักษิณเป็นสิทธิที่ทำได้ เป็นเรื่องปกติไม่มีข้อห้าม เพียงแต่ขออย่าไปในช่วงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันพุธ-พฤหัสบดี ขณะนี้ยังไม่ทราบจะมี สส.เดินทางไปพบนายทักษิณกี่คน แต่เกรงว่าถ้าไปกันมากๆ อาจจะถูกครหาเชื่อมโยงเป็นประเด็นการเมืองอีก

ซัดหยุดลากจุดพลุประเด็นการเมือง

ประธาน สส.พรรค พท.กล่าวอีกว่า ส่วนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ที่จะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในช่วงไล่เลี่ยกับที่นายทักษิณไป จ.เชียงใหม่ หากนายเศรษฐาจะไปพบกับนายทักษิณอีก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสามารถทำได้ การไปพบปะเพื่อขอคำปรึกษาหารือจากอดีตนายกฯที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ขอคำแนะนำ เรื่องการแก้ปัญหาบ้านเมืองถือเป็นเรื่องปกติ ขอให้หยุดเชื่อมโยงจับผิดการที่ สส.หรือนายกฯจะเดินทางไปพบนายทักษิณได้แล้ว ขอให้ก้าวข้ามกันเสียที หยุดลากเป็นประเด็นการเมือง เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ส่วนตัวคงไม่ได้ไปพบ หากท่านไม่เรียก ใครจะกล้าไป อยากให้นายทักษิณใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ ส่วน สส.หรืออดีต สส.เสื้อแดง ยังไม่มีใครพูดว่าจะเดินทางไปพบนายทักษิณที่ จ.เชียงใหม่

“วรชัย” ชี้เสื้อแดงนับพันรอจุดเดียว

นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกฯ ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงให้สัมภาษณ์กรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะเดินทางไปเชียงใหม่วันที่ 14 มี.ค. คนเสื้อแดงที่จะรอให้การต้อนรับเตรียมการไว้อย่างไรว่า ไม่ทราบกำหนดการที่ชัดเจนว่านายทักษิณจะเดินทางไปจุดใดบ้าง แต่ตนพร้อมกับคนเสื้อแดง เชียงใหม่ เชียงราย และพื้นที่ใกล้เคียงนัดร่วมตัวกันที่วัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค. เพียงจุดเดียว เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริก และไม่เป็นการรบกวนนายทักษิณที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ การรวมตัวของพวกเราเพื่อต้องการแสดงเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า พวกเราคนเสื้อแดงที่เคยเป็นพลังสนับสนุนนายทักษิณมาโดยตลอด ไม่ว่าเวลาผ่านไปอย่างไรยังเหมือนเดิม โดยการรวมตัวครั้งนี้เราเพียงนัดหมายกันให้ทุกคนไปด้วยจิตศรัทธา ไม่มีการจัดตั้ง ไปกันด้วยหัวใจ เชื่อว่าจะไปกันเป็นหลักพันคน

ขอแค่ได้แสดงพลังหนุนด้วยใจ

นายวรชัยกล่าวว่า ส่วนจุดอื่นๆที่นายทักษิณ จะเดินทางไปนั้น อาจจะมีคนเสื้อแดงบางส่วนไปรอให้การต้อนรับบ้าง แต่ที่เรานัดกันมีเพียงจุดเดียว ทั้งนี้ นายทักษิณจะเดินทางมาจุดนี้หรือไม่ อยู่ที่ความสะดวกของท่าน การที่เราได้รวมตัวแสดงพลังออกไป ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะได้เจอตัวท่านหรือไม่ก็ตาม เมื่อถามว่าส่วนตัวมีกำหนดการที่จะได้พบนายทักษิณหรือไม่ นายวรชัยกล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าจะได้มีโอกาสเจอนายทักษิณหรือไม่ ถ้าได้เจอก็เจอ ถ้าไม่ได้เจอจะรอโอกาสต่อไป ไม่เป็นไร ขอให้ท่านสะดวก อยากเข้าไปกราบท่านในฐานะผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพรัก

ถึงไร้ตำแหน่ง ปชช.ยังได้ประโยชน์

นายวรชัยกล่าวต่อว่า การเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ จ.เชียงใหม่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 รุนแรง การที่ท่านเดินทางไป เหมือนผู้ใหญ่ของประเทศที่เดินทางไปจะได้เห็นความเดือดร้อนของประชาชน จะได้คิดร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ดังนั้น เชื่อว่าแม้ท่านไม่มีตำแหน่งอะไรอย่างเป็นทางการ แต่การไป จ.เชียงใหม่ครั้งนี้ประชาชนได้ประโยชน์แน่นอน

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

“วิโรจน์” เชิดใส่สนใจแค่ปมสิทธิพิเศษ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ มองอย่างไรว่า เป็นเรื่องของนายทักษิณ พวกเราไม่เคยสนใจประเด็นของนายทักษิณเลย แต่สนใจเนื้อหาสาระและสิ่งที่นายทักษิณได้รับว่าเป็นสิทธิพิเศษหรือไม่ หรือคนอื่นที่มีเงื่อนไขคล้ายนายทักษิณพึงจะได้รับด้วย ถ้าเป็นเรื่องสิทธิมาตรฐานเราเองไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนจะเป็นโมเดลให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯกลับมาด้วยหรือไม่ คงต้องติดตามดู แต่คิดว่าสังคมไทยบาดเจ็บจากการเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาเป็นเงื่อนไขในการขัดแย้งมากพอแล้ว สมัยก่อนมีเรื่องนายปรีดี พนมยงค์ จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ไล่มาจนถึง พล.อ.สุจินดา คราประยูร และนายทักษิณ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล แต่อยู่ที่ตัวโครงสร้าง

ทั้ง “ทักษิณ-ปู” ไม่อยู่ในสารบบคิด ก.ก.

“ขอให้สบายใจว่าพรรค ก.ก.ไม่เคยมีความคิดเลยที่จะหยิบยกเอาบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และใช้วิธีการเช่นนั้น ทำให้สังคมกลับมาแตกแยกอีก แต่เราจะมุ่งแก้ไขที่โครงสร้างวิพากษ์วิจารณ์และแก้ไขเนื้อหาสาระเป็นหลัก ดังนั้น ยังยืนยันว่าทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายทักษิณ ไม่ได้อยู่ในสารบบคิดของพรรค ก.ก.แต่เราให้ความสนใจ ใส่ใจกับสิ่งที่คุณทักษิณได้รับ ถ้าเกิดได้รับ บุคคลอื่นที่อยู่ในเงื่อนไขเดียวกันควรได้รับด้วย” นายวิโรจน์กล่าว
แซะควรได้รับความยุติธรรมไม่ใช่อภิสิทธิ์

นายวิโรจน์กล่าวว่า นายทักษิณควรได้รับความยุติธรรมไม่ใช่ได้รับอภิสิทธิ์ ส่วนที่มีคนมองว่าเกี้ยเซี้ยกันนั้น ถ้าดูบทบาทคิดว่าไม่ได้เกี้ยเซี้ยยังจัดหนักจัดเต็ม เมื่อถามว่าการไปเชียงใหม่ของนายทักษิณครั้งนี้มีกระแสข่าวว่าอาจไปตลาดพบประชาชนด้วย จะเหมาะสมหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า ต้องย้อนถามกรมราชทัณฑ์ว่าทำได้หรือไม่ ก้าวไกลคงไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ หากนำโมเดลของนายทักษิณมาใช้กับนักโทษคนอื่น นายวิโรจน์กล่าวว่า เห็นด้วย เพราะเป็นสิทธิตามมาตรฐาน นักโทษคนอื่นก็ควรได้รับสิทธินั้น เป็นเรื่องง่ายมาก ในยุคที่นายทักษิณถูกขับไล่ ไม่ได้รับความเป็นธรรม จำได้หรือไม่ว่าคนเสื้อแดงต่อสู้ในบริบทไหน เราไม่ควรเลือกปฏิบัติ ซึ่งตนคิดว่าทุกวันนี้ การต่อสู้นั้นก็ยังอยู่ คำว่าสองมาตรฐานก็ยังหลอนตนอยู่ ซึ่งประเทศไทยต้องการมาตรฐานเดียว

“ธนาธร” โนคอมเมนต์ไปถาม พท.ดีกว่า

ช่วงบ่าย ที่ร้านพริ้มเพลิน จ.ปทุมธานี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้ากล่าวถึงประเด็นนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯจะกลับไป จ.เชียงใหม่ เป็นสองมาตรฐานหรือไม่ ว่าไม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้ เคยตอบไปแล้ว การบังคับใช้กฎหมายต้องเสมอภาค มีนักโทษคดีการเมืองเป็นพันคนเข้าใจว่ามีหลายสิบคนที่ยังอยู่ในคุก พวกเขาไม่ใช่เป็นคนที่ลักขโมยหรือฆ่าข่มขืนใคร เป็นนักโทษทางความคิด การพูดคิดอ่านเขียนไม่ควรเป็นอาชญากร เมื่อถามว่ามีประชาชนไปรอต้อนรับนายทักษิณ จะเป็นเป้าให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ นายธนาธร กล่าวสั้นๆว่า ขอให้ไปถามพรรค พท.ดีกว่า

“เทพไท” ชี้ไม่ใช่บังเอิญมาเจอกัน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊กเพจ “เทพไท คุยการเมือง” ในหัวเรื่อง “ทักษิณ-เศรษฐา เจอกันที่เชียงใหม่ไม่ใช่บังเอิญ” มีใจความว่า การที่คุณทักษิณ ชินวัตร มีกำหนด การเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 14-16 มี.ค. และคุณเศรษฐา ทวีสิน นายกฯไปตรวจราชการที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 15-17 มี.ค.เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นความบังเอิญ แต่เป็นความจงใจที่ต้องการใช้การลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ของทั้ง 2 คน เพื่อได้พบปะพูดคุยกันและการเดินทางไป จ.เชียงใหม่โดยใช้วันเวลาที่เหลื่อมกัน เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป การไปเชียงใหม่ของคุณเศรษฐาเพราะมีประชุม ครม.สัญจรที่ จ.พะเยา ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนคุณทักษิณอ้างการไปไหว้บรรพบุรุษ ปกติตามธรรมเนียมคนจีน การไหว้บรรพบุรุษหรือวันเชงเม้งปีนี้ตรงกับวันที่ 4 เม.ย.67 และคนจีนจะนิยมไหว้บรรพบุรุษในวันเชงเม้งเป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ไหว้ก่อนได้ 7 วัน แต่คุณทักษิณเลือกไปไหว้บรรพบุรุษวันที่ 15 มี.ค. ผิดจากประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกัน แต่คงเพื่อต้องการที่จะให้ได้พบกับคุณเศรษฐา โดยไม่ต้องการให้วันเดินทางตรงกันเป๊ะจนน่าเกลียดเกินไป จึงจัดเวลาเดินทางให้เหลื่อมกันเล็กน้อย

เตือนอย่าย่ามใจ ท้าทายฝ่ายตรงข้าม

“การที่คุณเศรษฐาให้สัมภาษณ์ที่ต่างประเทศว่าจะพบกับคุณทักษิณหรือไม่ ต้องดูก่อนว่าหากมีเวลาตรงกันคงได้เจอกัน ขออนุญาตทำนายไว้ล่วงหน้า 3 ข้อ คือ 1.มีเวลาตรงกัน 2.มีโอกาสได้พบกัน 3.จะพบกันในคืนวันที่ 15 มี.ค. การพบกันของคุณทักษิณกับคุณเศรษฐาไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ เพราะทั้งสองเคยพบกันมาแล้ว และพบปะได้เป็นประจำในฐานะคุณทักษิณเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย เป็นผู้สนับสนุนให้คุณเศรษฐาขึ้นมาเป็นนายกฯ แม้ตอนนี้จะไม่ได้เป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ ก็เป็นที่ปรึกษาแบบลับๆได้ การเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ของคุณทักษิณ ได้รับการอนุญาตจากกรมคุมประพฤติแล้ว ไม่ขัดต่อระเบียบหรือเงื่อนไข 5 ข้อห้าม และ 5 ข้อทำได้ แต่การปฏิบัติของคุณทักษิณที่อยู่ในระหว่างการพักโทษจะเหมาะสมหรือขัดต่อความรู้สึกของประชาชนหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่าทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกหรือท้าทายความรู้สึกของประชาชน อย่าย่ามใจว่าฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณจุดกระแสไม่ติด แต่ถ้าประชาชนอัดอั้นตันใจ คับแค้นใจมากๆ อาจจะจุดติดขึ้นมาก็ได้ จึงขอเตือนไว้ในฐานะเพื่อนนักโทษด้วยกัน” นายเทพไทระบุ

“เสี่ยนิด-อิ๊งค์” ถกห้างเปิดพื้นที่สินค้าไทย

สำหรับภารกิจนายเศรษฐา ทวีสิน นายกและรมว.คลัง ในการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส เยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นทางการและกิจกรรมคู่ขนานระหว่างวันที่ 7-14 มี.ค. เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 10 มี.ค.(ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส สหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี) นายกฯสวมสูทมีผ้าขาวม้า จ.อุดรธานีเป็นผ้าพันคอ ถือกระเป๋ากระจูด จ.นราธิวาส มาพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ที่ถือกระเป๋ากระจูดเช่นกัน รวมทั้งนางชฎาทิพ จูตระกูล คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ร่วมพูดคุยกับนาย Jean-Marc Bellaiche ประธานห้างสรรพสินค้า Printemps ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแฟชั่น ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยเพื่อร่วมมือจัดแสดงสินค้านำสินค้าไทยมาจัดแสดง ห้างจัดพื้นที่ไว้ให้ young designer ทำให้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ช่วยผลักดันเปิดโอกาสให้นักออกแบบไทยแสดงสินค้าสู่สายตาชาวโลก

ชูผ้าขาวม้า-กระเป๋ากระจูดโชว์ชาวโลก

ทั้งนี้นายกฯได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า ฝรั่งเศสโลกแห่งเมืองแฟชั่นตั้งใจเอาผลิตภัณฑ์กระจูดของดี จ.นราธิวาสและผ้าขาวม้าจ.อุดรธานี มาด้วย ทั้ง 2 ชิ้น เป็นสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หากเราใส่ใจต่อยอด ขยายช่องทางการขายในตลาดโลกได้จะเป็นแรงบันดาลใจสร้างรายได้ให้พี่น้องชาวใต้และอีสานอีกมาก จากนั้นเวลา 12.00 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงปารีส) นายกฯและคณะเยี่ยมชมและพบกับนาง Cathering Newey, Director of the Department store และนาง Christine Beaude, Finance Director ห้างสรรพสินค้า Bon Marché ธุรกิจค้าปลีกลูกค้าระดับ High-End คัดสรรเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุด ในกระบวนการเชิญแบรนด์ต่างๆ เพื่อเข้ามาเปิดหน้าร้าน Le Bon Marché เป็นบริษัทในเครือ LVMH

ดันสุดลิ่มปั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายกฯกล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลกและการเร่งสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รวมถึงขอให้พิจารณาเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนกิจกรรมระหว่างห้าง และจัดนิทรรศการส่งเสริมการขาย pop-up booth ระหว่างกัน การเดินทางครั้งนี้ได้พบกับผู้นำธุรกิจชาวฝรั่งเศสจากหลายภาคส่วน โดยรัฐบาลมุ่งเสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขัน เร่งสร้างซอฟต์พาวเวอร์ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม พร้อมหวังที่จะเพิ่มการเข้าถึงอุตสาหกรรมแฟชั่นฝรั่งเศสสำหรับนักออกแบบและศิลปินชาวไทยที่มีความสามารถ

เตรียมพบ “เอ็มมานูเอล มาครง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภารกิจของนายกฯในวันที่ 11 มี.ค. ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นมีกำหนดการพบหารือกับ Mr. Bernard Arnault, Chairman and CEO of LVMH Group ผู้บริหารบริษัทเอกชน สาขาอุตสาหกรรมแฟชั่น แบบ one-on-one ที่ร้านดิออร์ Dior สาขา Avenue Montaigne จากนั้นนายกฯมีกำหนดพบหารือนายกฯฝรั่งเศส และพบหารือประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ที่ทำเนียบประธานาธิบดี โดยจะร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ และหารือรูปแบบ four eyes และร่วมงานเลี้ยงกลางวัน ในช่วงบ่าย เยี่ยมชมและพบหารือผู้บริหารสถาบัน CEA กรุงปารีส ถึงความร่วมมือด้านพลังงานสะอาด และพบผู้บริหารอุตสาหกรรมแฟชั่น

สรวงศ์ เทียนทอง
สรวงศ์ เทียนทอง

รัฐบาลพร้อมรับมือฝ่ายค้านซักฟอก

นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเตรียมรับมือการอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ของพรรคฝ่ายค้านและญัตติอภิปรายทั่วไปของ สว.ว่า หากเป็นญัตติ สว.คงเป็นหน้าที่รัฐบาล เนื่องจาก สส.ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนการอภิปรายทั่วไป มาตรา 152 หากการอภิปรายพูดถึงใครเจ้าตัวต้องตอบ แต่พรรคจะดูความเหมาะสมมีอะไรเกินขอบเขตการอภิปรายหรือตีกินทางการเมืองหรือไม่ หากมีเราไม่ยอม เมื่อถามว่าต้องทำการบ้านช่วยรัฐบาลชี้แจงอย่างไรบ้าง นายสรวงศ์ตอบว่า เรายังไม่เข้าใจว่าการที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายทั่วไป โดย ไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เป็นประเด็นเรื่องใด ทราบจากข่าวจะมุ่งไปในสิ่งที่รัฐบาลเคยอภิปรายไว้ในสภาฯ แต่ยังไม่ได้ทำ จริงๆแล้วทุกคนและประชาชนทราบว่านโยบายต่างๆของรัฐบาลที่ไม่จำเป็นต้องใช้งบฯเราทำเต็มที่ แต่ส่วนที่ต้องใช้งบฯทราบอยู่แล้วว่างบฯยังไม่ผ่านการอภิปรายพวกนี้ต้องชัดเจน แต่เมื่อฝ่ายค้านลงมติกันเช่นนั้น เราเตรียมรับมือกันเต็มที่

ไม่ยอมแน่อภิปรายเกินขอบเขต

เมื่อถามว่ามองว่าประเด็นที่ฝ่ายค้านและ สว.อาจหยิบยกมาอภิปรายอาจมีเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีน้ำหนักพอหรือไม่ เพราะรัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารประเทศไม่กี่เดือน นายสรวงศ์ตอบว่า ดิจิทัลวอลเล็ตขณะนี้กำลังรับฟังความคิดเห็นอยู่ ยังไม่มีอะไรผิดสัญญาประชาชน จากการลงพื้นที่ ประชาชนในพื้นที่เข้าใจทุกอย่าง ส่วนเรื่องนายทักษิณท่านไม่มีอะไรเกี่ยวกับรัฐบาลนี้ทุกอย่างเป็นไปตากระบวนการ การพระราชทานอภัยโทษเป็นเรื่องพระราชอำนาจ การเจ็บป่วยว่ากันไป ทุกอย่างยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรชัดเจนให้ยื่นอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ได้ แต่หากมีอะไรอภิปรายเกินขอบเขตหรือกระทบต่อพรรคการเมือง เราไม่ยอมแน่นอน อะไรเกี่ยวข้องกับรัฐบาล ต้องเป็นหน้าที่รัฐบาลที่เป็นผู้ตอบ

ก.ก.รอขย่มตรวจการบ้านฝ่ายบริหาร

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเตรียมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่า วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาได้ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านและมีมติร่วมกันว่าจะยื่นอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติอย่างเป็นทางการในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เวลาอภิปรายจะอยู่ที่ 2-3 วัน ช่วงวันที่ 3-5 เม.ย. พรรค ก.ก. มีความพร้อมแน่นอนในการอภิปรายครั้งนี้ ธีมหลักคือตรวจการบ้านรัฐบาลหลังจากทำงานมาแล้ว 6-7 เดือนว่าได้ผลักดันนโยบายสำเร็จตามที่แถลงต่อรัฐสภาหรือไม่ จะเห็นว่าหลายนโยบายเรือธงของรัฐบาลไม่มีความคืบหน้ามากนัก เราไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ พรรคยังอยู่ในกระบวนการคัดเลือก สส.ที่จะมาอภิปราย

การันตีจัดหนักจัดเต็มเเม้ไม่ลงมติ

เมื่อถามว่า จะอภิปรายกระบวนการยุติธรรมของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วยหรือไม่ นายพริษฐ์กล่าวว่า เรื่องกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญ เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่อยู่ในการอภิปราย ทั้งนี้ แม้เป็นการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ แต่พรรค ก.ก. เต็มที่แน่นอน ไม่ต้องกังวลใจถึงความเข้มข้นในการอภิปราย และเราจะรักษามาตรฐานตามที่พรรคเคยทำไว้

ขย่มมาเฟียข้ามชาติ ทุนเทา ยาเสพติด

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า มีเรื่องให้อภิปรายหลายประเด็น จะเป็นการทวงสัญญารัฐบาลว่าจะทำหรือไม่ทำ ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้มีความคืบหน้าไปถึงไหน รวมถึงสิ่งที่ทำมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน จะเป็นลักษณะของการเสนอแนะว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำและไม่ทำคืออะไร นอกจากนี้ยังมีปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งเรื่องมาเฟียข้ามชาติ อิทธิพลท้องถิ่น รวมถึงการเรียกรับผลประโยชน์จากข้าราชการบางกลุ่ม ทุนสีเทา คอลเซ็นเตอร์ ปัญหายาเสพติด การใช้อำนาจรัฐที่ไม่มีหลักนิติธรรม ระบบสองมาตรฐาน

“วิโรจน์” ชงญัตติด่วนอำนาจศาล รธน.

นายวิโรจน์ ในฐานะประธาน กมธ.การทหาร สภาฯ ยังกล่าวถึงกรณีเสนอญัตติด่วนขอสภาฯตั้งคณะ กมธ.วิสามัญศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและขอบเขตอำนาจนิติบัญญัติ เป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เพราะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรว่า นี่คือหน้าที่ของนิติบัญญัติในการศึกษาขอบเขตอำนาจขององค์กรต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่ 3 อำนาจหลัก ที่ปัจจุบันก้าวก่ายขอบเขตของนิติบัญญัติ อำนาจฝ่ายบริหาร สังคมสงสัยว่า อำนาจขององค์กรอิสระและตุลาการจะเกี่ยวโยงกันหรือไม่

ไม่ห่วงตัวเร่งชนวนถูกยุบพรรค

เมื่อถามว่า พรรค ก.ก.ต้องการเอาคืนศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายวิโรจน์กล่าวว่า เป็นอำนาจหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ สส.จะนำคำถามในใจของประชาชน ใช้ตามหน้าที่ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญ ไม่เคยคิดว่าประเด็นนี้เป็นตัวเร่งให้พรรค ก.ก.โดนยุบ ถ้าคิดว่าประชาชนจะยอมรับก็ทำเลย ไม่ส่งสัญญาณถึงใคร ถ้าหากมีจะส่งขอส่งถึงผู้มีอำนาจนอกระบบ พรรค ก.ก.ทำงานจากความในใจของประชาชน ทำให้ประเทศสงบภายใต้ระบบประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หาก กกต.จะยื่นยุบพรรค ก.ก.ให้เป็นหน้าที่ของ กกต. เราพร้อมทุกวันตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ เมื่อถามว่ากังวลว่า สส.ย้ายพรรคหรือมีงูเห่าหรือไม่ นายวิโรจน์ตอบว่า ไม่ต้องกังวล คุยตั้งแต่ผู้สมัครแล้ว งูเห่าที่ผ่านมาเห็นตัวอย่างอยู่แล้ว จะเป็นงูจริง งูแฝง มีจุดจบไม่ต่างกัน

ราเมศ รัตนะเชวง
ราเมศ รัตนะเชวง

“ราเมศ” ค้านทำลายเครดิตศาล รธน.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก.เสนอญัตติด่วนขอให้ตั้งคณะ กมธ.วิสามัญศึกษาขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญว่า หลักการสำคัญในระบบประชาธิปไตยได้แบ่งแยกอำนาจ ถ่วงดุลกันชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญถือได้ว่าเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจทางตุลาการ จึงเป็น 1 ใน 3 อำนาจหลัก นายวิโรจน์อย่าเข้าใจหลักการผิดไป จะทำให้การตั้งต้นวิพากษ์วิจารณ์ผิดไปจากหลักความถูกต้อง อำนาจตุลาการพิจารณาพิพากษาคดีมีรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดและมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาคดี กรอบอำนาจหน้าที่ของศาล กำหนดไว้ค่อนข้างชัดว่ามีคดีประเภทใดบ้างที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ ไม่สามารถหยิบยกข้อเท็จจริงใดขึ้นมาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยได้โดยลำพัง หากไม่มีผู้ยื่นคำร้องให้ตีความวินิจฉัย ถ้าศาลฯเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่มีหลายคดีที่ไม่รับไว้พิจารณา คดีไหนอยู่ในอำนาจรับไว้และพิจารณาวินิจฉัย ย่อมมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้คดี แต่ทั้งหมดคือกระบวนการยุติธรรมที่ทุกฝ่ายต้องน้อมรับและมีผลผูกพันทุกองค์กร หลายคดีที่พรรค ก.ก.ชนะ ที่แพ้ก็มี พอพรรค ก.ก.ชนะจะพึงพอใจ แต่เมื่อมีคดีพ่ายแพ้จะมีกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ

อ่านไต๋ปั่นดราม่าปูพรมถูกทำร้าย

นายราเมศกล่าวว่า ตนเห็นต่างจากพรรค ก.ก.และคิดได้อย่างเท่าทันว่า ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีเกี่ยวข้องกับพรรค ก.ก. จะเริ่มต้นทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญก่อน และหากผลคดีไม่เป็นคุณต่อพรรค ก.ก. จะใช้การกระบวนการทั้งหมดเป็นเงื่อนไขว่าพรรค ก.ก.เป็นผู้ถูกกระทำใช่หรือไม่นี่คือความเลวร้ายในหลักคิดทางการเมืองที่จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายในอนาคต การเสนอญัตติด่วนดังกล่าว เชื่อว่ามีการตั้งธงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณากล่าวหาศาลรัฐธรรมนูญก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติ ขอให้ระวังว่าที่สุดจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่จะไปก้าวล่วงศาลรัฐธรรมนูญเสียเอง

จี้สอบงบฯ 138 ล้านปรับปรุงทำเนียบฯ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ได้ส่งหนังสือผ่านไปรษณีย์อีเอ็มเอส ถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ให้ตรวจสอบการใช้งบฯ 138 ล้านบาท ปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาลถูกต้องหรือไม่ ควรชี้แจงการใช้งบฯดังกล่าว เพราะเมื่อวันที่ 3 มี.ค.67 ครม.มีมติเห็นชอบตามที่นายกฯเสนอถึงการจัดทำงบฯปี 2568 ที่ขอให้ปรับลดงบฯที่ไม่จำเป็น การที่รัฐบาลใช้เงิน 138 ล้านบาทจึงไม่สอดคล้องมติ ครม. แม้อาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 141 คือใช้งบฯ ปี 66 ไปพลางก่อน เพราะสภาฯยังพิจารณางบฯ ปี 67 ไม่เสร็จ แต่การใช้งบฯ ปี 66 ไปพลางก่อน ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบฯ ปี 66 ไปพลางก่อน ที่กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขข้อ 2.1 ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบฯให้หน่วยรับงบฯใช้จ่าย ภายใต้กรอบวงเงินแต่ละแผนงานและรายการตาม พ.ร.บ.งบฯ ปี 66 รวมถึงรายการโอนเปลี่ยนแปลงตามกฎหมาย ดังนี้ 1.งบกลาง 2. งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบฯ 3.งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ 4.งบประมาณรายจ่ายบุคลากร 5.งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน 6.งบ ประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ

ขู่ใช้งบฯผิดเงื่อนไขต้องรับผิดชอบ

นายเรืองไกรกล่าวว่า จากหลักเกณฑ์ดังกล่าวควรตรวจสอบว่า การใช้งบ 138 ล้านบาท อยู่ภายใต้กรอบวงเงินแต่ละแผนงานและรายการตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2566 หรือไม่ นายกฯควรตรวจสอบงบฯปรับภูมิทัศน์ทำเนียบรัฐบาล 138 ล้านบาท ทั้ง 12 รายการ เป็นไปตามมติ ครม.วันที่ 3 มี.ค. 2567 และหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายปี 2566 ไปพลางก่อนหรือไม่ หากการใช้งบฯไม่ชอบ นายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง เข้าข่ายต้องรับผิดชอบตามกฎหมายหรือไม่ เป็นการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำที่จำเป็น เกิดความคุ้มค่า ประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศหรือไม่

“นัทรียา” ยันใช้งบฯไปตามระเบียบ

น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายบริหารชี้แจงกรณีมีการวิจารณ์ต่อแผนงานงบประมาณของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเรื่องงบฯลงทุนเรื่องระบบ IT และการปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ว่า เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ขอยืนยันว่าระบบ Cyber Security หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ สำหรับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปตามแผนงานดิจิทัลที่ได้จัดทำโครงการมาตั้งแต่ปี 65 และมาผ่านงบฯ ปี 67 เพื่อเป็นระบบป้องกันการคุกคามทางไซเบอร์ เป็นเรื่องสำคัญทั้งด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของระบบฐานข้อมูลรัฐบาลและตามแผนงานดิจิทัลที่รอบคอบและรัดกุม อุปกรณ์ที่ติดตั้ง 2 ชุด เพื่อให้มีความเสถียรภาพ หากชุดใดชุดหนึ่งเสีย อุปกรณ์อีกชุดสามารถทำงานทดแทนได้ทันที เพื่ออุดช่องโหว่ไม่ให้เกิดความเสียหายที่ยากเกินจะแก้ไข สำหรับงบฯปรับปรุงสถานที่ เป็นไปตามระยะเวลาของการใช้งานที่ต้องมีการเปลี่ยนและปรับปรุง โดยเฉพาะทำเนียบรัฐบาลที่สถานที่สำคัญในการบริหารและภาพลักษณ์ประเทศ หลายอาคารได้ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรที่ต้องเป็นไปตามข้อระเบียบปรับปรุงซ่อมแซมด้วย ยืนยันการดำเนินการของบฯเป็นไปตามระเบียบ เหตุผลความจำเป็น และกรอบวงเงินที่ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

ให้ดูทั้งระบบไม่ใช่แค่รูปใบเดียว

เมื่อเวลา 12.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการเปิดภาพการปรับปรุงสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลวิพากษ์วิจารณ์กันว่าใช้งบฯสูงถึง 138 ล้านบาท ว่า เอารูปสนามมาแล้วมาบอกว่า 138 ล้านบาท มันจึงดูเยอะ บิดเบือนนิดหน่อย ไม่ใช่สนามอย่างเดียวมีหลายเรื่อง มีทั้งระบบไอที มีทั้งระบบรักษาความปลอดภัย ระบบคอมพิวเตอร์ อะไรอีกหลายอย่างที่ถึงเวลา ต้องไปดูระบบข้างใน มีระบบไอที มีระบบป้องกันอัคคีภัย เต็มไปหมด ต้องไปดูรายละเอียด เชื่อมั่นว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบข้อบังคับที่ถูกต้อง รองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายบริหารชี้แจงไปแล้ว ยืนยันเราพยายามทำให้ถูกต้องตามกฎระเบียบทุกอย่าง คำนึงถึงทุกบาททุกสตางค์ ต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

เผย จนท.รัฐอยากรวยต้นตอทุจริต

“นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง “คดีทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ” ระหว่างวันที่ 4-6 มี.ค.จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ 1,310 หน่วยตัวอย่าง พบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริต และประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ร้อยละ 59.39 ระบุเพราะคนในสังคมส่วนใหญ่ อยากรวย อยากมี อยากได้ ร้อยละ 31.53 คนในสังคมส่วนใหญ่ นับถือคนรวย คนมีอำนาจ คนมีอิทธิพล ร้อยละ 23.05 ช่องโหว่ ของกฎหมาย ร้อยละ 20.23 ระบุค่าครองชีพสูง เงินเดือนน้อย ร้อยละ 17.63 การได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ไม่ค่อยเชื่อมั่นหน่วยงานปราบโกง

เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ สำนักงานอัยการสูงสุด ร้อยละ 33.36 ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 28.17 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 16.79 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 14.73 เชื่อมั่นมาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร้อยละ 34.74 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 30.15 ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 15.57 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 12.52 เชื่อมั่นมาก ป.ป.ช. ร้อยละ 34.05 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 28.47 ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 18.63 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 11.07 เชื่อมั่นมาก ป.ป.ท.ร้อยละ 34.50 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 24.43 ค่อนข้างเชื่อมั่นร้อยละ 20.69 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 10.00 เชื่อมั่นมาก บก.ปปป. ร้อยละ 39.08 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 22.14 ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 22.06 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 8.78 เชื่อมั่นมาก ตำรวจหน่วยอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ บก.ปปป.) ร้อยละ 41.98 ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 29.77 ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 19.54 ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 4.05 เชื่อมั่นมาก

มวลชนยื่นค้านฝากขัง “ตะวัน-แฟรงค์”

ช่วงเที่ยง ที่ศาลอาญา นางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พร้อมนายสมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของ น.ส.ทานตะวัน นายเอกชัย หงส์กังวาน น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือแบม นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำ และมวลชนส่วนหนึ่งมาที่ศาลอาญายื่นคำแถลงขอให้ศาลพิจารณาไม่รับฝากขังตะวันและแฟรงค์อีกฉบับ โดยนางทิชากล่าวว่า ปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นนักโทษเด็ดขาด อีก 20 เปอร์เซ็นต์เป็นนักโทษอยู่ระหว่างพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงว่าการคุมขัง 20 เปอร์เซ็นต์นั้นคุมขังผู้บริสุทธิ์ ต้องมาคำนวณวันเวลา อิสรภาพ โอกาสการทำมาหากินของพวกเขา นี่คือความสูญเสียมหาศาล สิทธิการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำ สะท้อนว่าการต่อสู้ของตะวัน แบม บุ้ง แฟรงค์ และนักกิจกรรมการเมืองคนอื่นๆไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา เป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนเกิดก่อน หวังว่าจะยังคงมีผู้พิพากษาจะกล้าหาญพอจะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้

นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำ ลูกชายอาจารย์ชื่อดัง กล่าวว่า นอกจากป้ามลจะยื่นคำแถลงต่อศาลคัดค้านการฝากขัง ยังมีคุณพ่อของตะวันที่มายื่นขอประกัน เพราะห่วงลูกสาวมาก นอนไม่หลับ

ร่วมจุดเทียนร้องเพลงวิงวอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนางทิชาและบิดาของตะวันขึ้นไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขังและขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลงเเสงดาว แห่งศรัทธา จากนั้น รปภ.ขอความร่วมมือให้ไปจุดเทียนนอกบริเวณศาล ทั้งหมดเคลื่อนไปยังพื้นที่อนุญาตแล้วจุดเทียนร้องเพลงเพื่อมวลชน มีเยาวชนหญิง 1 คน แสดงกิริยาขัดขืนพรรคพวกได้ห้ามปรามพาแยกออกไป

ศาลสั่งยกคำร้องวืดประกัน

ต่อมานายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ยื่นคำร้องประกอบหลักทรัพย์ขอประกันตะวันกับแฟรงค์อีกครั้ง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในการไต่สวนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 ศาลมีคำสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จในการฝากขังครั้งนี้ แม้ผู้ต้องหาทั้ง 2 มีอาการวิกฤติตามที่ผู้ร้องอ้าง แต่เมื่อผู้ร้องทั้ง 2 อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องและผู้ต้องหาทราบ จากนั้นมวลชนจึงค่อยๆแยกกันกลับไป

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่