ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ยกฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” กับพวกรวม 6 คน คดีโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย ชี้ชัดไม่พบเจตนาเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชน อดีตนายกฯอนุมัติงบฯกลาง 40 ล้าน บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่มีขณะนั้น “นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์” โล่ง พ้นครหาแทรกแซงชี้นำล็อกสเปกผู้รับจ้างล่วงหน้า อดีตรองนายกฯยืดอกมั่นใจมาตลอดไร้ทุจริต “อนุสรณ์” ตีปี๊บถึงเวลาบ้านเมืองเดินหน้า เลิกเสียโอกาสไปกับไฟขัดแย้ง ดักคอ ป.ป.ช.ไม่ควรดื้ออุทธรณ์ “เศรษฐา” บินไปออสซีร่วมเวทีสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย จีบฝรั่งเศสขอจัดแข่งฟอร์มูล่าวันในไทย เมินโพลเชียร์อยู่ครบวาระ ถ่อมตัวยังทำได้ไม่ดีพอ ท้าพิสูจน์ผลงาน โต้ครหาบินออนทัวร์สร้างภาพ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ลงมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ยกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะและพวกรวม 6 คน คดีโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย ระบุไม่พบเจตนาเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชน พร้อมสั่งถอนหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในคดีนี้

...

ศาลฯชี้ขาดคดีโรดโชว์ รบ. “ยิ่งลักษณ์”

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาคดี หมายเลขดำที่ อม.2/2565 ระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นาย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ บ.มติชน จำกัด (มหาชน) บริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) นายระวิ โหลทอง เป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดซื้อจัดจ้างเข้ามีส่วนได้เสีย ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ป.อาญามาตรา 151, 157 โดยจำเลยที่ 4-6 เป็นผู้สนับสนุนกรณีจัดโรดโชว์เอื้อประโยชน์เอกชน เสียหายกว่า 239 ล้านบาท จำเลยที่ 1 หลบหนีอยู่ต่างประเทศ จำเลยอื่นมาศาลและให้การปฏิเสธ ต่อมาศาลยกข้อหามาตรา 151 ออก

โจทก์ฟ้อง “ปู” ใช้วิธีพิเศษเสียหาย 239 ล้าน

คดีนี้ ป.ป.ช.ฟ้องว่าเมื่อเดือน ส.ค.56 ถึงวันที่ 12 มี.ค.57 จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ดำเนินการเสนอโครงการโรดโชว์ (Roadshow) ที่มิใช่กรณีเร่งด่วน โดยจำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกฯลงนามผ่านเรื่องแล้วจำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯใช้ดุลพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง โดยเจตนาร่วมกันกำหนดให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้รับจ้างจัดโครงการ โดยจำเลยที่ 3 เสนอจำเลยที่ 2 เพื่อขออนุมัติจัดจ้างการดำเนินการโครงการดังกล่าวโดยวิธีพิเศษ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังร่วมกันดำเนินการเพื่อให้ ครม.มีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวด ทั้งที่ไม่เข้าเงื่อนไขอันจะได้รับการยกเว้น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกฯ 239,700,000 บาท โดยจำเลยที่ 4-6 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-3 ตาม ป.อาญา มาตรา 151, 157 พ.ร.ป.มาตรา 123/1 ประกอบพ.ร.ป. ป.ป.ช.ปี 62 มาตรา 192 และ พ.ร.บ.ฮั้ว มาตรา 12,13 ลงโทษจำเลยที่ 4-6 ในฐานเป็นผู้สนับสนุนกับนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีที่ อม.211/2560 ของศาลนี้ จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สั่งไม่ประทับรับฟ้อง จำเลยที่ 1 หลบหนีตลอดการพิจารณา ศาลออกหมายจับปรับนายประกัน

อนุมัติงบกลางโดยสุจริตตามข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.)วินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1-3 นำงบกลาง 40,000,000 บาท มาทำโครงการ Roadshow เป็นการดำเนินการตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา โครงการเกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 เอง และมิได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อให้เป็นเหตุอ้างใช้งบกลาง ประกอบกับ ผอ.สำนักงบประมาณมีความเห็นว่าเห็นสมควรที่นายกฯจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ กรณีย่อมมีเหตุผลเพียงพอให้จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าสามารถอนุมัติได้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ใช้ดุลพินิจกระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

“นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์” พ้นครหาชี้นำ

สำหรับนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ไม่ปรากฏว่ามีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบในกระบวนการเสนออนุมัติงบฯ กลางในการดำเนินการ และไม่ปรากฏพฤติการณ์ร่วมกันแทรกแซงหรือมีคำสั่งให้เลือกบริษัทมติชนและบริษัทสยามสปอร์ตเป็นผู้รับจ้างโครงการไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มการจัดจ้างหรือไม่ ปรากฏว่ามีการกำหนดคุณลักษณะอย่างใดเพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์หรือเลือกเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น การที่ทั้งสองคนเสนอให้อดีตนายกฯ จำเลยที่ 1 อนุมัติ ใช้งบกลาง และจำเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลาง 40,000,000 บาท มาดำเนินการโครงการ Roadshow จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนมติ ครม.

รับฟังไม่ได้ว่าล็อกผู้รับจ้างงานล่วงหน้า

จากการไต่สวนข้อเท็จจริง นายสุรนันทน์ มิได้กระทำการอันใดในลักษณะชี้นำหรือจูงใจหรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ไม่มีบุคคลใดสั่งการให้เลือกจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้รับจ้าง รับฟังไม่ได้ว่ากำหนดตัวบุคคลให้เป็นผู้รับจ้างไว้ล่วงหน้า การเสนอของเจ้าหน้าที่ตามลำดับชั้นโครงการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.56 และจำเลยที่ 3 เสนอเรื่องต่อจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ต.ค.56 จึงไม่อาจใช้วิธีการประกวดราคา อีกทั้งขาดเจตนาพิเศษในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดโครงการเพื่อทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกฯ

ลงมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ยกฟ้อง

ประการสำคัญที่สุดหลังเกิดเหตุรัฐประหาร เลขาธิการนายกฯมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้น คณะกรรมการฯเห็นว่าโครงการ Roadshow เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกฯด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จึงอนุมัติเบิกจ่ายเงิน สอดคล้องกับที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ จึงฟังไม่ได้ว่านายสุรนันทน์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนโครงการอีก 10 จังหวัด วงเงิน 200 ล้านบาท ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคาได้ เข้าเงื่อนไขตามระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ 24 (3) เช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 4-6 ฟังไม่ได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนกระทำความผิด การแบ่งจังหวัดเพื่อจัดทำงานนำเสนอ เป็นขั้นตอนก่อนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันเสนอราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ 9 เสียงให้พิพากษายกฟ้อง

“นิวัฒน์ธำรง” โล่งใจไร้ทุจริต

ด้านนายนิวัฒน์ธำรงเปิดเผยว่า ดีใจที่ศาลเมตตา โล่งใจเพราะต่อสู้กันมาหลายปี ทั้งนี้ไม่ได้เรียกว่าเป็นการล้างมลทิน แต่ได้ปฏิบัติงานอย่างสุจริต เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ จากการสอบพยานเรามีหลักฐานแน่นว่าไม่มีวี่แววเรื่องการทุจริต มั่นใจมาโดยตลอด ส่วนการเพิกถอนหมายจับอดีตนายกฯ ยังไม่ได้สื่อสารไปหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ เรื่องที่เกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์มีส่วนร่วมเพียงน้อยนิด เพราะเป็นเรื่องของหน่วยงานจัดกิจกรรม

ด้านนายนพดล หลาวทอง ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ตั้งแต่รับทำคดีนี้มั่นใจในลูกความว่าไม่มีความผิด เชื่อมั่นในความสุจริตดูจากพยานหลักฐาน อีกทั้งพยานหลักฐานฝ่ายผู้กล่าวหามีข้อบกพร่องเยอะ รวมถึงตนรวบรวมหลักฐานจากทุกศาลมาต่อสู้จึงเชื่อมั่นตั้งแต่แรก ครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากศาล

“ปุ้ม” ขอบคุณทุกกำลังใจตลอด 8 ปี

ด้านนายสุรนันทน์กล่าวว่า ขอบคุณศาลฎีกาที่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ผิด ที่ให้ความเป็นธรรม เพราะการไต่สวนค่อนข้างละเอียด พิจารณาทุกแง่มุมอย่างละเอียดถี่ถ้วนทำให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทยและขอขอบคุณกำลังใจ จากทุกคนทั้งที่รู้จักตนและไม่รู้จักตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าสบายใจและเราปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในขณะนั้น และถือเป็นการยืนยันความถูกต้องเพราะที่ผ่านมามีการแถลงข่าวมากมาย มีกระแสข่าว แต่ไม่เคยมีการตอบโต้กลับ รอเพียงแค่ศาลตัดสินเท่านั้นและวันนี้ถือเป็นที่ประจักษ์แล้ว

พท.ตีปี๊บถึงเวลาบ้านเมืองเดินหน้า

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นมติเอกฉันท์แม้ ป.ป.ช.จะยื่นอุทธรณ์ได้ แต่มติชี้ชัดขนาดนี้ ไม่ควรยื่นอุทธรณ์ต่อ ถือว่าการจัดอีเวนต์โรดโชว์ดังกล่าว ไม่มีกระบวนการหรือขั้นตอนใดผิดกฎหมาย ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใด งบฯกว่า 239 ล้านบาท ถูกจ่ายโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนจ่ายตรวจสอบโดยคณะกรรมการโดยละเอียด เมื่อเห็นว่าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชันจึงสั่งการให้จ่ายได้ เท่ากับยืนยันว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชน บ้านเมืองเราเสียโอกาสกับความขัดแย้งมามากแล้ว ได้เวลายกระดับการพัฒนา เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้เดินหน้าพัฒนาต่อไป

สื่อนอกกระพือข่าวดีตระกูลชินฯ

วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวศาลฎีกายกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี โดยระบุว่า มติเอกฉันท์ให้ยกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือเป็นผลลัพธ์ที่เอื้อต่อตระกูลชินวัตรอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่ชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งได้รับการพักโทษปล่อยตัวกลับบ้าน ปัจจุบัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนมานานกว่า 6 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงโทษจำคุกคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ขณะที่นายทักษิณเคยใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนนานกว่า 15 ปี เพื่อหลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริต กระนั้นการเดินทางกลับประเทศ ไทยของนายทักษิณในวันที่ 22 ส.ค.2566 ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า เกิดขึ้นจากการเจรจาลับทางการเมืองกับกองทัพและขั้วอำนาจอนุรักษ์นิยม แต่เรื่องนี้บรรดาขั้วการเมืองพันธมิตรของตระกูลชินวัตรชี้แจงมาตลอดว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

อิทธิพร บุญประคอง
อิทธิพร บุญประคอง

ปธ. กกต.แจงไทม์ไลน์เฟ้น สว.ปี 67

เมื่อเวลา 09.30 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเวทีสาระรอบรู้เรื่อง สว.2567 ให้ความรู้สื่อมวลชนและเครือข่ายของสำนักงาน กกต. มีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ขอเชิญชวนผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมาสมัครเป็น สว. วาระ สว.ชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลงวันที่ 11 พ.ค. และเมื่อมี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง สว. อีก 15 วัน หลังจากนั้นจะรับสมัคร 5 วันต่อด้วยอีก 5 วัน ประกาศรายชื่อผู้สมัครและหลังปิดรับสมัครไม่เกิน 20 วัน ต้องจัดให้มีการเลือกระดับอำเภอ จากนั้นอีก 7 วัน จัดเลือกระดับจังหวัด จากนั้นอีก 10 วัน ถึงจะให้เลือกระดับประเทศ คาดว่าจะรู้ผลภายในเดือน ก.ค.รอไว้ก่อน 5 วัน จึงประกาศผล

ตั้งรางวัลนำจับโกง 1 ล้านคาดสมัคร 1 แสน

นายอิทธิพรกล่าวว่า ฝากผู้สมัครศึกษาตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้ดี หากมีข้อสงสัยสอบถามได้จากสำนักงาน กกต.จังหวัดต่างๆ สายด่วน กกต. 1444 หรือ Application Smartvote ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริต แจ้งไปที่ กกต.จังหวัดต่างๆ หรือแอปพลิเคชันตาสับปะรด ผู้แจ้งเบาะแสอันนำไปสู่การกระทำที่ไม่ทุจริตและเที่ยงธรรม มีสิทธิ์ได้รับเงินรางวัลสูงสุด 1 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้สมัครประมาณ 100,000 คน ตัวเลข 1 แสน เป็นตัวเลขประมาณการเบื้องต้น ถ้ามากกว่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

เตือนพรรคการเมืองหนุนหลังผิด ก.ม.

เมื่อถามว่ามีความพยายามทำให้ผู้สมัครเป็นที่เข้าใจว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลัง ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า มาตรา 77 กำหนดโทษเอาไว้แล้ว จะนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ อะไรก็ตามที่ไม่เป็นการดำเนินการสมัครหรือดำเนินการสมัครด้วยตัวเอง ถือว่าเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อถามว่าสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรค การเมืองจะลงสมัครได้จะต้องเว้นวรรค 5 ปีหรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ต้องเว้นวรรค 5 ปี แต่กรณีที่ว่าอดีต สว.จะรวมตัวกันส่งผู้สมัคร ไม่สามารถทำได้ เพราะแค่ สว.ลงสมัครเองไม่ได้อยู่แล้ว การรวมตัวจะยิ่งถือว่าไม่เป็นอิสระ พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว.ที่จัดให้มีการเลือกในระบบนี้เป็นครั้งแรก เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง อะไรก็ตามที่เข้ามาแทรกแซงเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย หากมีข้อเท็จจริงว่ากระทำการเข้าข่ายหรืออาจฝ่าฝืนกฎหมาย กกต.ตั้งเรื่องตรวจสอบเองได้

เร่งศึกษาคำวินิจฉัยศาล รธน.คดียุบ ก.ก.

นายอิทธิพรกล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าคำร้องยุบพรรค ก.ก.และ พรรค ภท.ว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 31 ม.ค. กกต.ได้ขอให้สำนักงานฯและนายทะเบียนพรรคการเมืองไปศึกษาคำวินิจฉัยและตัวบทของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง จากนั้นเสนอผลการศึกษาเบื้องต้น เห็นพ้องกันว่าจะนำเอาคำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์มาประกอบการพิจารณาเสนอความเห็นด้วย คำวินิจฉัยฉบับสมบูรณ์ออกมาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ผ่านราชกิจจานุเบกษา สำนักงานฯต้องนำคำวินิจฉัยไปพิจารณาอีกที ประกอบความเห็นที่ศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ ยังไม่มีกรอบเวลา แต่กระบวนการนี้คงใช้เวลาไม่มาก แต่จะดำเนินการอย่างไม่ชักช้า ส่วนคำร้องยุบพรรค ภท. อยู่ระหว่างการพิจารณาของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าตาม คำร้อง ข้อเท็จจริงมีมูลหรือไม่ จะดำเนินการโดยไม่ล่าช้า ตามกฎหมายกำหนดไว้ 30 วัน หรือ 60 วัน แต่ขอขยายเวลาได้ และต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล

แสวง บุญมี
แสวง บุญมี

“แสวง” จับตาพรรคการเมืองชักใย

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเด็นสำคัญจะป้องกันพวกฮั้วกันมาหรือจัดตั้งกันมา สำนักงานต้องดูว่าผิดกฎหมายหรือมีวิธีจะทำอย่างไรให้ได้ สว.ตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้และเป็นที่ยอมรับ จะรักษาเป้าหมายตรงนี้จนกว่าจะได้ สว.ครบ 200 คน ระหว่างที่มีการเลือกตั้ง สว.ไม่มีการหาเสียง มีแค่แนะนำตัว กฎหมายถือว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แค่อ่านจากกระดาษแนะนำตัวหรือโซเชียลมีเดียน่าจะเพียงพอ เราต้องตรวจตราว่ามีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ส่วนงบฯเลือก สว. 1 พันล้านเศษ ไม่ได้สูงมาก

ทุ่ม 20 ล้านสแกนคุณสมบัติต้องห้าม

ด้านนายปกรณ์ มหรรณพ กกต.กล่าวว่า การตรวจคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามผู้สมัคร สว.หลายหมื่นคน คาดว่ากว่า 900 อำเภอทั่วประเทศ อำเภอละ 20 กลุ่ม รวมกว่า 18,000 กลุ่ม ถ้ามีผู้สมัครแค่กลุ่มละ 5-10 คนรวมเป็นแสนคนแล้ว การตรวจคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม กกต.กับสำนักทะเบียน พยายามร่วมมือกันพัฒนา อนุมัติเงินให้สำนักทะเบียนกว่า 20 ล้านบาทเร่งด่วน ต้องทำให้ได้ จะประสานร่วมมือกับเรือนจำ ศาลทั่วประเทศ สำนักทะเบียนต่างๆ เพื่อทราบสิ่งนี้เร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา แม้จะมีปัญหาการตีความ กำลังให้ฝ่ายกฎหมายถือข้อวินิจฉัยให้เป็นยุติ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกคำวินิจฉัยมาเป็นทางการ ทำอย่างไรจะถือปฏิบัติได้เหมือนกัน เป็นลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ นี่คือปัญหาที่ฝ่ายบริหารกำลังเร่งแก้ปัญหาอย่างเต็มที่

นายกฯบินร่วมเวทีอาเซียน-ออสเตรเลีย

เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินทางไปยังนครเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย (ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง 55 นาที) ถึงท่าอากาศยานนครเมลเบิร์น เวลา 21.25 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครเมลเบิร์น เร็วกว่าไทย 4 ชั่วโมง) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ (2024 ASEAN-Australia Special Summit) เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ ระหว่างวันที่ 4-6 มี.ค.โดยนายกฯหยิบยกประเด็นความร่วมมือ ได้แก่ ความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อทั้งด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี การลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการแลนด์บริดจ์ และโครงการ EEC เศรษฐกิจดิจิทัล การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่า วาระสีเขียว (Green Agenda) ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลักดันเพื่อแก้ไขปัญหาในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ อาทิ การแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ ยืนยันย้ำท่าทีไทยในการเจรจาจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ที่มีประสิทธิภาพ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมา ความมั่นคงด้านอาหารและสุขภาพ การผลักดันการจัดตั้งศูนย์อาเซียนว่าด้วยสาธารณสุขฉุกเฉินและโรคอุบัติใหม่ให้เป็นรูปธรรม
โอกาสนี้นายกฯมีกำหนดการพบหารือกับนายกฯมาเลเซีย นายกฯ สปป.ลาว นายกฯเครือรัฐออสเตรเลียและนายกฯนิวซีแลนด์ รวมทั้งพบหารือผู้บริหารบริษัทระดับโลก อาทิ บริษัท Fortescue (เหมืองแร่และพลังงานสีเขียว) Linfox (คมนาคมและโลจิสติกส์) Redflow (ระบบกักเก็บ พลังงานจากสังกะสีและโบรมีน) ANCA (การพัฒนา soft ware) NextDC (การบริหารข้อมูล) และ Hesta (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

คุยฝรั่งเศสจัดแข่งฟอร์มูล่าวันในไทย

เมื่อเวลา 07.57 น. นายกฯให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางว่า การหารือทวิภาคีกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา เป็นเรื่องที่คุยค้างกันอยู่ ทั้งการอำนวยความสะดวกประชาชนไปมาหาสู่กัน การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนที่พูดคุยกันไว้ ส่วนกับนายอันวาร์ อิบราฮิ นายกฯมาเลเซีย จะพูดคุยการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเปิดพรมแดนอำนวยความสะดวกการค้าขายมากขึ้น ขณะที่ออสเตรเลียถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทย จะพูดคุยแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา การเกษตร จากนั้นวัน 6 มี.ค.เดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ช่วงเช้าร่วมงาน ITB Berlin 2024 เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ช่วงบ่ายหารือกับผู้บริหารบริษัทโฟล์คสวาเกน ในการตั้งโรงงานที่ไทย จากนั้นจะบินไปยังกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อพบนักธุรกิจกับกลุ่มผู้บริหารบริษัทแอร์บัส และผู้บริหารด้านแฟชั่น รวมถึงพูดคุยการนำการแข่งขันฟอร์มูล่าวันมาแข่งขันที่ประเทศไทย จากนั้นวันที่ 11 มี.ค.หารือทวิภาคีกับนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และวันที่ 12 มี.ค.ดูงานนิทรรศการที่เมืองต่างๆมาโชว์ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานและโปรเจกต์ โดยปี 68 เราจะไปนำเสนอเรื่องสนามบิน และหลายอย่างที่ไทยกำลังทำอยู่ เพื่อให้นักลงทุนและชาวโลกทราบว่าไทยกำลังดำเนินด้านใดไปบ้าง

หอบสินค้าไทยไปโปรโมต

นายกฯกล่าวอีกว่า จากนั้นวันที่ 13 มี.ค.จะกลับไปที่เยอรมนีอีกรอบ เพื่อหารือทวิภาคีกับนายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีเยอรมนีและเดินทางกลับไทยเวลา 13.00 น. ของวันที่ 14 มี.ค. เวลา 16.00 น. จะประชุมกับ รมว.พาณิชย์สหรัฐอเมริกา การเดินทางไปต่างประเทศครั้งนี้ จะนำสินค้าไทยไปโปรโมตด้วย แต่ขอเก็บไว้ก่อน จะทยอยเปิดเผยทีละวัน และจะพูดคุยวีซ่าเชงเก้นหรือใบอนุญาตเข้าประเทศเพื่อการไปเยือนในระยะสั้นหรือชั่วคราวไม่เกิน 90 วันด้วย ทั้งนี้ การหารือเอฟทีเอระหว่างประเทศไทยและอียูจะเกิดเป็นรูปธรรมแน่นอน เพราะนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศยืนยันมาแล้ว ถือว่าเรื่องนี้สำคัญต่อการค้าขาย

ท้าพิสูจน์ผลงานโต้ครหาออนทัวร์

เมื่อถามถึงผลสำรวจซูเปอร์โพลระบุประชาชนพึงพอใจการทำงานรัฐบาลรอบ 6 เดือนให้โอกาสอยู่ครบวาระ นายกฯตอบว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ดังนั้นต้องทำต่อไป ยังทำไม่ดีพอ เมื่อถามว่า ผลสำรวจทำให้ใจชื้นขึ้นหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ทราบอย่างเดียวว่ามีภารกิจอีกเยอะมากที่ต้องทำ เมื่อถามย้ำว่าผลสำรวจประชาชนพอใจ แต่ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายการเมืองว่านายกฯเดินสายปฏิบัติภารกิจหลัก แค่ลงพื้นที่ต่างจังหวัดและบินไปต่างประเทศ นายกฯกล่าวว่า ให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ บางเรื่องต้องทำไปก่อนแล้วค่อยๆมีอะไรออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น เชื่อว่ากลับมาวันที่ 15 มี.ค.หรือวันที่ 16 มี.ค.จะแถลงผลการทำงานรัฐบาลครบ 6 เดือน มีความคืบหน้าด้านใดบ้าง ทั้งพูดคุยกับบริษัทยักษ์ใหญ่สำเร็จไปถึงขั้นตอนไหนบ้างแล้ว ตามที่ได้รับเสียงสะท้อนมาว่าแค่ไปต่างประเทศยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม รับฟังและจะมาชี้แจง หากมีสิ่งไหนไม่ชัดเจนขอให้บอกมา ถ้าเกิดทำให้ได้จะทำ ไม่อยากถูกต่อว่าโดยไม่เป็นความจริง เป็นหน้าที่เราต้องชี้แจง หากเรายังทำไม่ดีพอ ขอให้บอกมาจะได้ปรับปรุง

ฝ่ายค้านไม่ยื่นซักฟอกคงตามนั้น

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวฝ่ายค้านจะไม่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ นายกฯกล่าวว่า “ก็คงเป็นไปตามนั้น” ส่วนหน้าที่รัฐบาลมีอะไรก็ต้องทำ ได้ย้ำไปกับรัฐมนตรีเรื่องการไปตอบกระทู้ต่างๆ ต้องให้ความสำคัญด้วย ถ้ามีภารกิจให้มอบหมายกันต่อๆไป แต่ถ้าเป็นไปได้ขอให้ไปตอบด้วยตนเอง แต่การตอบกระทู้ถามสดมีระยะเวลาแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ บางทีแจ้งเร็วหรือช้าเกินไป เวลาไม่มีได้บอกรัฐมนตรีว่าไม่เป็นไร แต่ต้องให้เกียรติกันทั้งสองฝ่าย เราเป็นฝ่ายบริหารฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อกังขาอะไร เราต้องไปชี้แจง

ปธ.วิปรัฐเชื่อ รมต.ไม่หนีกระทู้

เมื่อเวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ในฐานะประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีรัฐมนตรีไม่มาตอบกระทู้ในสภาฯว่า นายกฯทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีแล้ว เชื่อว่าสัปดาห์นี้จะมาตอบกันครบ และในการประชุมวิปรัฐบาลวันที่ 4 มี.ค.ได้กำชับวิปพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคไปกำชับรัฐมนตรีของตัวเองให้มาตอบกระทู้ในสภาฯด้วยเช่นกัน เชื่อมั่นทุกคนพร้อมให้ความร่วมมือกับสภาฯ ปัญหากระทู้ถามสด กว่าที่รัฐมนตรีจะทราบเป็นช่วงเวลา 09.00 น. แล้ว จึงพยายามขอร้องรัฐมนตรีทั้งหลายอย่าขยันขันแข็งมากไปในเช้าวันพฤหัสบดี ขอให้รอตอบกระทู้ก่อน ขอแค่เช้าวันพฤหัสบดี 3 ชั่วโมง ส่วนที่พรรคก้าวไกลระบุตนชอบแอ็กชันสร้างภาพนั้น ไม่ต้องสร้างภาพ มีอยู่แล้วอยู่สภาฯมากว่า 20 ปี ทำหน้าที่ตรงไปมาไม่ไว้หน้าใคร คนที่ว่าตนเพิ่งเข้ามาสภาฯปีแรก อย่าได้เหิมเกริมกล่าวหาผู้อื่น ไปมองตัวเองดีๆ ไม่จำเป็นต้องสร้างภาพอะไร

มั่นใจปม สปก.ไม่กระทบรัฐบาล

นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ส่วนการผลักดันการพิจารณากฎหมายของฝ่ายรัฐบาลที่ใกล้จะปิดสมัยประชุมสภาฯในวันที่ 9 เม.ย. สิ่งสำคัญสุดต้องพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 67 วาระ 2-3 ในวันที่ 20-21 มี.ค. ก่อน เพื่อนำงบฯไปสู่ประชาชนและหน่วยงาน ส่วนปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.ที่มีปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาล คิดว่าจบกันได้ ทั้ง รมว.เกษตรฯและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯอยู่พรรคเดียวกันจะเจรจากันได้ ไม่มีปัญหา ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล

“พัชรวาท” โผล่ตอบกระทู้ป่าชายเลน

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา มีนายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาเป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามการจัดสรรพื้นที่ป่าชายเลนให้เอกชนปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตของ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ สว.สอบถาม พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายก รัฐมนตรีและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ถึงการให้ภาคธุรกิจเข้าไปรับประโยชน์เต็มๆจากคาร์บอนเครดิตปลูกป่าชายเลน แต่ชุมชนได้ประโยชน์เล็กน้อย โดย พล.ต.อ.พัชรวาทมาตอบกระทู้ว่า ครม.มอบหมายทส.ทำโครงการปลูกป่าชายเลน เพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต มีเอกชน องค์กรและมูลนิธิ 14 รายเข้าร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่าย ประชาชนเข้าร่วมใช้ ประโยชน์ได้ ไม่ได้อนุญาตให้สัมปทานป่าไม้แก่เอกชน

วรชัย เหมะ
วรชัย เหมะ

“วรชัย” วอนเลิกแซะ “ทักษิณ”

นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีมีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์การที่สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน หรือสมเด็จฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกฯกัมพูชา เข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แล้วโยงไปถึงการยกพื้นที่เกาะกูด จ.ตราดให้กัมพูชาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับนายทักษิณ รู้จักกันมากว่า 32 ปี เพราะนายทักษิณได้ไปลงทุนที่กัมพูชา สมัยที่สมเด็จฮุน เซน เป็นนายกฯ ทำธุรกิจทีวีและระบบโทรคมนาคม มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาต่อเนื่อง ในฐานะเพื่อนที่รู้ใจมานานมาเยี่ยมเยือนกันเป็นเรื่องปกติ ในฐานะเพื่อนสนิทแค่มาเยี่ยมเพื่อนเวลาทุกข์ยากลำบากไม่สบาย คนที่เชื่อมโยงเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นการเมือง เพื่อเอามาทำลายพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง จะทำให้การเมืองระหว่างประเทศเสียหาย วันนี้คนที่เชื่อมโยงเรื่องพื้นที่ทับซ้อนว่ามีการเจรจากันโดยเฉพาะเรื่องเกาะกูด ไม่เป็นความจริง ยังไม่เคยเห็นผู้นำกัมพูชาหรือสมเด็จฮุน เซน ออกมาพูดว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาเลย การตั้งประเด็นนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อโจมตีใส่ร้ายป้ายสี ขอให้แยกความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเรื่องการเมือง อาจกระทบความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศได้

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่