“จตุพร” มอง ก้าวไกลขอแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ไม่มีเหตุผิดจริยธรรม เชื่อ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นทางลงของ “เศรษฐา” หวังเรื่องไม่ถูกต้องจะได้ชำระสะสางให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงในสักวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน วิเคราะห์การเมืองผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา โดยประเมินอนาคตทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในสถานการณ์ถูกรุมยื่นยุบพรรคกรณีแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า มีเพียงทางเลือกคือสู้กับไม่สู้ และตายกับตาย ถ้าสู้แม้ตายแต่ได้เกิดใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม หากไม่สู้ก็ตายอย่างสมเพชเวทนา พร้อมท้ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย เมื่อมั่นใจโครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็ควรกล้าลงมือทำ อย่าเอาผลศึกษาของประชาชนมาอ้างถ่วงเวลาแจกเงินกับประชาชน

นายจตุพร ระบุต่อไปว่า ทั้งที่เกิดการสงสัยกันไปทั่วเมืองว่ามีคนอยู่ชั้น 14 จริงหรือไม่ แต่หลัง 18 กุมภาพันธ์ จะเห็นคนนี้ได้กลับบ้าน แล้วจากนั้นจะมีการปฏิบัติตามดีลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อีกทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะกรรมการชุด นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานศึกษาโครงการดิจิทัลวอลเล็ตโดยไม่ได้มาจากคำสั่งของรัฐบาล จึงไม่จำเป็นต้องรายงานผลการศึกษาต่อรัฐบาล และหากต้องการจริง รัฐบาลควรทำหนังสือขอผลการศึกษาก็สิ้นเรื่อง

“รัฐบาลยังไม่ได้ลงมือทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเลย หากรัฐบาลทำจริง คาดว่า ป.ป.ช.จะส่งหนังสือมาเตือน เหมือนเคยเตือนกรณีโครงการจำนำข้าว (ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และเสนอให้หยุดการกระทำ เพราะสร้างความเสียหายต่อประเทศ จนเป็นคดีทำให้รัฐมนตรีและข้าราชการติดคุกกันหลายคน”

...

ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลกล้าทำโครงการดิจิทัลแล้ว จะไปสนใจทำไมกับ ป.ป.ช.ศึกษาการแจกเงินดิจิทัลทำไม เมื่ออยากกู้เงิน 500,000 ล้านบาท ก็กู้เลย พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลจึงเงียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่จะรอใช้ในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติอย่างยิ่ง เพราะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บริหารบ้านเมืองแต่ไม่มีงบประมาณให้ใช้จ่าย ถึงที่สุดถ้าไม่ไปตามสัญญาที่ดีลกันไว้ จะเห็นการล้างบางทางการเมืองยกใหญ่อีกรอบแน่ 

นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ที่รัฐบาลอ้างว่ารอเอกสารจาก ป.ป.ช.อยู่นั้น ตนเองมีความสงสัยว่าได้ขอ ป.ป.ช.แล้วหรือยัง ขณะเดียวกันรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจเริ่มทำโครงการดิจิทัลเลย ถ้าลงมือทำแล้ว คำเตือนจาก ป.ป.ช.จะมาทันที ยกเว้นว่าได้ทำหนังสือไปถึง ป.ป.ช.เพื่อขอคำแนะนำว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แล้วเมื่อไม่ได้ขอเอกสาร จะมารอเอกสารได้อย่างไร และที่ ป.ป.ช.ศึกษา ก็ไม่ได้บอกว่าจะส่งให้รัฐบาล ซึ่งตามที่ได้ข่าวมาเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตจะเป็นทางลงของ นายเศรษฐา โดยจะออกพระราชบัญญัติกู้เงิน เมื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) คงไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลเอาด้วยแน่ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงต้องประกาศลาออกเพื่อเป็นทางลง เพราะไม่ได้ทำดิจิทัลวอลเล็ต

“เหตุการณ์พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ การเสนอโครงการดิจิทัลก็ทำไม่ได้ รถไฟฟ้า 20 บาทก็ได้เพียง 2 สาย และค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมา 2 บาท ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาการเมือง แต่ทำไม่ได้ตามสัญญาสักเรื่อง แล้วยังกล้าทำดีลเพื่อเอาประโยชน์จากการเป็นรัฐบาลและคนชั้น 14 กลับบ้าน ไม่ยอมติดคุกสักวัน ดังนั้น เหตุการณ์เหล่านี้จะนำไปสู่การถูกล้มกระดานกันได้ง่ายๆ” 

นายจตุพร ระบุอีกว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ เชื่อว่าจะได้รับเลือกจำนวนมาก แม้มีความพยายามจะเล่นงานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 44 คน เรื่องจริยธรรมนักการเมือง แต่จะผิดจริยธรรมอย่างไรเมื่อเสนอขอแก้ไขกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร และทำก่อนจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา จึงไม่มีเหตุผลเรื่องผิดจริยธรรมเลย พร้อมมองว่าพรรคก้าวไกลเล่นการเมืองไม่ได้ติดยึดกับคน และไม่ได้จัดตั้งคนแบบเดิมกันแล้ว แต่เป็นการจัดตั้งทางความคิด พรรคอื่นจะสู้อะไรกับเขาได้ ดังนั้น สิ่งที่จะเห็นกันโดยเริ่มจากการแพ้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้พรรคก้าวไกลก่อน จากนั้นก็เสียการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อไปถึงเลือกตั้งใหญ่จะทนได้หรือ เมื่อทนไม่ได้ก็ล้มกระดานเขาอีก ถ้าคิดจะสู้กับพรรคก้าวไกลต้องสู้ให้เป็น

ขณะเดียวกัน นายจตุพร ยังได้กล่าวถึงช่วงติดคุกแล้วมีผู้ใหญ่ทางอำนาจไปพบ ว่า คนติดคุกไม่สามารถเลือกได้ว่าจะพบใคร และใครมาพบก็ต้องพบ แต่การพบของตนไม่ได้พูดคุยตกลงดีลเพื่อออกจากคุกแลกกับการเปลี่ยนจุดยืน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมตนจึงต้องติดคุกซ้ำอีกหลายรอบ และยังจะถูกยึดบ้านจากคดีทางการเมือง อีกอย่างคนไปพบไม่ได้มีตนคนเดียว เพราะไปพบ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ด้วย แล้วทำไมไม่ถูกกล่าวหายอมแลกสลายเสื้อแดงกับไม่ต้องติดคุก

“ถ้าผมดีล ผมก็ต้องรอดจากการติดคุกในคดีเดิมสิ มีคดีฟ้องร้องถึง 3 คน ทั้ง นายณัฐวุฒิ และ ก่อแก้ว พิกุลทอง ด้วย แต่พวกนั้นรอดหมด มีผมคนเดียวที่ต้องติดคุกอีก แบบนี้เป็นการดีลกันเหรอ ที่เล่าให้ฟังเพราะไม่สนใจใครเลย ใครอยากมีราคาก็ว่ากันไป ส่วนนางแบกเป็นโฆษกปากเสียมากกว่าก่อเรื่องดีให้เพื่อไทยและรัฐบาล”

สำหรับเรื่องทางการเมืองยังมีอีกมากมาย และที่สำคัญคือการดีลโดยตัวเองได้ประโยชน์ แต่ประเทศเสียหายเป็นวงกว้าง ย่อมจะนำไปสู่สถานการณ์ไม่คาดฝันในอนาคต ถ้าคิดถึงวันที่ได้ วันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะได้อะไรสักเรื่อง กลับบ้านไม่ติดคุกสักวัน แลกกับการถูกประจานทุกวัน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลก็ไม่มีงบประมาณใช้สักบาท จึงไม่เห็นว่ายังจะได้อะไรเลยนอกจากความสมเพชเวทนาเท่านั้นเอง

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร กล่าวในช่วงท้ายด้วยว่า ถ้าบ้านเมืองอยู่แบบนี้อาจจบลงด้วยการยึดอำนาจเหมือนเดิม ทั้งที่เราหวังว่าเรื่องไม่ถูกต้องจะได้ชำระสะสางให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงสักวัน และประเทศได้จัดความสมดุล ความเท่าเทียม ความเสมอภาคในทุกมิติ อะไรที่ไม่ถูกต้องควรถูกจัดการให้สิ้น โดยทำความจริงให้ปรากฏ แม้จะเป็นเรื่องของโจรปล้นโจรก็ตาม ต้องทำให้รู้ความจริง อย่าเอาโจรมาฟอกโจร บ้านเมืองจะไม่ได้อะไร ซ้ำร้ายข้าราชการก็ยังทุจริตกันตามเดิมอีก.