“อิ๊งค์” ดันเต็มสูบซอฟต์พาวเวอร์ อัดฉีดงบฯ 6 หนังไทยไปฉายเทศกาล Osaka Asian Film Festival ในนามรัฐบาล เป็นโอกาสให้ต่างชาติเห็นศักยภาพภาพยนตร์ไทย หวังยอดทางธุรกิจ “นลินี” จูงใจนางเอก “คังคุไบ”-Bollywood มาถ่ายทำที่ไทย เพิ่มฐานตลาดอินเดีย สว.ปั่นอีก ก.ก.รอดยากคดียุบพรรค ซัดแก้ 112 มีเจตนาล้มล้างไม่ใช่ปฏิรูป “เสรี” ตีกรอบเปิดเวทีซักฟอกช่วง ก.พ. วางแลนด์บริดจ์อยู่ในคิวถูกขยี้ด้วย โพลชี้ 3 ปีฐานนิยมก้าวไกลพุ่งพรวดกว่าเท่าตัว นิด้าโพลแย้มคนไม่โกรธถ้าต้องแห้วดิจิทัลวอลเล็ต ไทย-จีนลงนามฟรีวีซ่าเริ่ม 1 มี.ค. “หวังอี้” รับปากให้คนจีนมาไทยเพิ่มขึ้น

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ฯ ขยับเดินหน้าปั้นซอฟต์พาวเวอร์ อัดฉีดงบประมาณให้ภาพยนตร์ไทย 6 เรื่อง ได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ Osaka Asian Film Festival เป็นโอกาสให้ต่างชาติเห็นศักยภาพการสร้างภาพยนตร์ของไทยหวังต่อยอดทางธุรกิจ

“อิ๊งค์” อัดงบดันหนังไทยออกนอก

เมื่อวันที่ 28 ม.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ขอแสดงความยินดีกับภาพยนตร์ไทย 6 เรื่อง ที่ได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ Osaka Asian Film Festival คือ 1.สัปเหร่อ 2.เพื่อน (ไม่) สนิท 3.ทะเลของฉันมีคลื่นเล็กน้อยถึงปานกลาง 4.หุ่นพยนต์ 5.แว่วเสียงไฟ 6.How We Say Goodbye ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ภาคเอกชนต้องไปเทศกาลนานาชาติด้วยตัวเอง แทบไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ครั้งนี้ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ไปฉายได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ เพราะไปในนามรัฐบาล มีความหมายมากสำหรับคนทำภาพยนตร์ หวังว่าจุดเปลี่ยนเล็กๆครั้งนี้ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ในอนาคต เปลี่ยนวิธีคิดที่ภาครัฐมีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เพราะกว่าจะมีการสนับสนุนเป็นเรื่องยากมากๆ แต่เกิดขึ้นแล้วต้องมีครั้งต่อๆไป

...

สร้างโอกาสร่วมกันในอนาคต

น.ส.แพทองธารระบุอีกว่า งานเทศกาลภาพยนตร์คือโอกาสต่อยอดทางธุรกิจ ที่สำคัญไม่ใช่แค่การฉายภาพยนตร์ แต่เป็นโอกาสให้ต่างชาติเห็นศักยภาพการสร้างภาพยนตร์ของไทย พูดคุยเรื่องการซื้อขายภาพยนตร์ ซื้อขายลิขสิทธิ์ สร้างโอกาสทำงานร่วมกันในอนาคต นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยที่เราเปลี่ยนแปลงการทำงานในช่วงเริ่มต้น หลังจากนี้ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆจะเกิดขึ้นอีก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ขึ้นๆในทุกอุตสาหกรรมที่สร้างซอฟต์พาวเวอร์ให้ติดตามการทำงานของเราต่อไป

จูงใจนางเอก “คังคุไบ” ถ่ายทำไทย

นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า มีโอกาสพบ “อาเลีย บาตต์” นักแสดงสาวชาวอินเดีย รับบท “คังคุไบ” จากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Gangubai Kathaiwadi (หญิงแกร่งแห่งมุมไบ) เชิญชวนให้มาถ่ายภาพยนตร์ในไทยเพิ่มมากขึ้น การมีนางเอกดัง ระดับโลกมาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย จะเป็นการเสริมสร้างซอฟต์พาวเวอร์ไทย ทั้งอาหาร และสถานที่ถ่ายทำ จะเป็นกระแสและได้รับความนิยมจากฐานผู้สนับสนุนจากทั้งในอินเดียและประเทศอื่นในชั่วข้ามคืน อาเลีย บาตต์ นิยมเดินทางมาไทย เพิ่งกลับจาก จ.ภูเก็ต ชื่นชอบส้มตำ ผัดไทย ที่สำคัญคือน้ำมะพร้าว และมีโอกาสหารือชักชวนให้คุณ Sajid Nadiadwala เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำของอินเดีย Nadiad wala Grandson Entertainment และยังเป็นประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย 11 สมัย มีบริษัทผู้ผลิตในเครือราว 400 บริษัท สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ Bollywood ในไทยเพิ่มเติม มีการยืนยันว่าผู้ผลิตภาพยนตร์อินเดียนิยมใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงชื่นชมความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงไทย โดยเฉพาะบทการต่อสู้และศิลปะแม่ไม้มวยไทย

สว.ปั่น ก.ก.รอดยากคดียุบพรรค

วันเดียวกัน นายสมชาย แสวงการ สว. โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า เหตุที่คดีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยวันที่ 31 ม.ค. สุ่มเสี่ยงจะถูกวินิจฉัยให้มีความผิดให้ยุติการกระทำตามคำร้อง อาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้นในก้าวต่อไป ดังนี้ 1.คำร้องประกอบหลักฐานค่อนข้างแน่นหนา ชี้ให้เห็นถึงการกระทำต่อเนื่อง หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 สั่งห้ามการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ยังปรากฏการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายพรรค การเดินสายหาเสียงต่างกรรมต่างวาระ การพูดอภิปรายในรัฐสภา การให้สัมภาษณ์สื่อไทยและต่างประเทศ

ซัดมีเจตนาล้มล้างไม่ใช่ปฏิรูป

นายสมชายระบุว่า 2.คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวยังระบุพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทําของผู้ถูกร้อง แสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพมีเจตนาซ่อนเร้น เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่การปฏิรูป การใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยไม่สุจริต ละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แต่ยังปรากฏการกระทำดังกล่าว โดยกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าคำร้องพร้อมเอกสารหลักฐานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ มีน้ำหนักมากที่จะทำให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง

“เสรี” ตีกรอบเปิดเวทีซักฟอก ก.พ.

นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ว่า สว.ขอช่วงเวลาเปิดอภิปรายรัฐบาลในเดือน ก.พ. ประธานวุฒิสภากำลังตรวจสอบเพื่อส่งเรื่องไปให้รัฐบาล และเปิดให้สมาชิกแสดงเจตจำนงขออภิปราย ไม่มีปิดกั้น ให้อภิปรายตามความรู้ความสามารถของแต่ละคน คาดว่าอีก 7-10 วัน จะพิจารณาบุคคลที่จะร่วมอภิปรายประเด็นสำคัญที่จะอภิรายคือเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ อย่างที่นิด้าโพลทำสำรวจพบเรื่องเศรษฐกิจเป็นปัญหาที่ประชาชนประสบหนัก และไม่เห็นด้วยกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะอาจมีปัญหาอื่นตามมาอีกมาก

วางแลนด์บริดจ์อยู่ในคิวถูกขยี้

นายเสรีกล่าวว่า ส่วนจะอภิปรายเรื่องโครงการแลนด์บริดจ์หรือไม่ ต้องดูว่าโครงการนี้กระทบเศรษฐกิจหรือไม่ รัฐบาลอยากให้โครงการนี้เกิดขึ้นเพราะน่าจะช่วยสร้างอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่ แต่หากมองอีกมุมมีเรื่องความคุ้มค่า ปัญหาอยู่ที่ว่าต้องการให้เป็นอย่างไร เรื่องนี้สามารถพูดอภิปรายได้ ส่วนเรื่องระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลแค่ 4 เดือน ต้องเข้าใจว่าญัตติที่ สว.เสนอ ไม่ได้พูดถึงการทำงานล้มเหลวของรัฐบาล แต่พูดเพื่อให้รัฐบาลมาแถลงในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผลจากการหาเสียง การแถลงนโยบาย หรือการดำเนินโครงการให้เป็นรูปธรรม คงไม่เกิดขึ้นทันทีในเวลา 4 เดือน สว.ไม่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่กำลังส่งเสริมรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเด็นอภิปรายจะหยิบยกให้เป็นประโยชน์กับประชาชน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่จะแนะนำรัฐบาล เสนอทางออกให้สังคม ดังนั้นระยะเวลาที่ทำงานมา 3-4 เดือน จึงไม่ใช่ปัญหา

โพลชี้ 3 ปีฐาน ก.ก.พุ่งพรวดเท่าตัว

ขณะที่ซูเปอร์โพลเปิดผลสำรวจความเห็นประชาชน จำนวน 1,142 ตัวอย่าง เรื่อง “สำรวจฐานเสียงพรรคก้าวไกลวันนี้” เปรียบเทียบผลสำรวจระหว่างเดือน ก.ค.2563 กับ ม.ค.2567 พบว่าในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ฐานเสียงของพรรคก้าวไกลพุ่งพรวดมาเท่าตัว จากร้อยละ 16.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 37.3 จำแนกตามช่วงอายุ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากที่สุด คือร้อยละ 76.2 กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 48.8 กลุ่มคนอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 33.7 กลุ่มคนอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 28.8 กลุ่มอายุ 40-49 ปี ร้อยละ 19.6 กลุ่มคนอายุ 50-59 ปี และร้อยละ 22.2 ในกลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป เมื่อแบ่งออกตามกลุ่มอาชีพ พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 69.2 เป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รองลงมาคือกลุ่มคนว่างงาน ร้อยละ 43.5 กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 39.4 กลุ่มคนค้าขายส่วนตัว ร้อยละ 32.5 กลุ่มข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ร้อยละ 31.0 กลุ่มเกษตรกรและรับจ้างแรงงานทั่วไป ร้อยละ 21.3 และกลุ่มแม่บ้านผู้เกษียณอายุร้อยละ 15.2 เมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่ากระแสพรรคก้าวไกลมาแรงในภาคใต้ ร้อยละ 45.2 รองลงมาคือภาคกลาง ร้อยละ 40.3 อีสาน ร้อยละ 39.4 กทม. ร้อยละ 38.4 ภาคเหนือ ร้อยละ 9.7

คนโอดวิกฤติ ศก.ต้องแก้เร่งด่วน

ส่วนนิด้าโพลเปิดผลสำรวจความเห็น เรื่อง “วิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต” จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวม 1,310 หน่วย เมื่อถามความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของไทยขณะนี้ ร้อยละ 63.51 ระบุว่าเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน รองลงมาร้อยละ 20.15 ระบุว่าเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วน ร้อยละ 10.08 ระบุว่าไม่น่าวิตกกังวล ร้อยละ 5.65 ระบุว่าไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ร้อยละ 36.72 ระบุ ว่าประชาชนกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน รองลงมาร้อยละ 31.91 ยังสามารถรับมือได้ด้วยตนเอง ร้อยละ 20.45 ต้องการความช่วยเหลือแต่ไม่เร่งด่วน มีร้อยละ 10.92 ที่ไม่ได้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจใดๆ

ไม่โกรธแม้ต้องแห้วดิจิทัลวอลเล็ต

ขณะที่ความคิดเห็นประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ร้อยละ 34.66 ระบุว่าควรหยุดดำเนินนโยบายนี้ได้แล้ว ร้อยละ 33.66 ให้ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ตามที่ประกาศไว้ ร้อยละ 18.55 ให้ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ มีร้อยละ 5.88 ให้เลื่อนไปทำนโยบายในปี 2568 เมื่อถามถึงความรู้สึกประชาชนหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ร้อยละ 68.85 บอกว่าไม่โกรธเลย รองลงมาร้อยละ 12.37 ค่อนข้างโกรธ ร้อยละ 9.39 ระบุว่าโกรธมาก ร้อยละ 8.85 ไม่ค่อยโกรธ

พท.เชื่อเงินหมื่นสะดุดไม่กระทบ

ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลสำรวจนิด้าโพลว่า รัฐบาลยืนยันจะผลักดันเดินหน้าโครงการนี้ต่อ แต่ระหว่างทางก็รับฟังข้อสังเกตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงโพลความคิดเห็นประชาชน จะเดินหน้าบนพื้นฐานความชอบธรรม ความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการชะลอโครงการจากเดิมจะแจกในเดือน พ.ค.นี้ คิดว่าประชาชนที่ติดตามโครงการ ทราบว่ารัฐบาลตั้งใจทำทันที แต่ไม่สามารถเดินหน้าได้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่ทำ รัฐบาลพยายามเดินหน้าทำ แต่เมื่อมีข้อสังเกตต่างๆทำให้รัฐบาลต้องรับฟัง กระบวนการจึงต้องใช้เวลาสักระยะ มั่นใจไม่กระทบความเชื่อมั่นพรรค รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายเดียวคือดิจิทัลวอลเล็ต แต่ทำหลายเรื่อง ทั้งโครงการแลนด์บริดจ์ ซอฟต์พาวเวอร์ ลดราคาพลังงาน อาจช้าหน่อย แต่ช้าแล้วชัวร์

ไทย-จีนลงนามฟรีวีซ่าเริ่ม 1 มี.ค.

เมื่อเวลา 11.50 น. ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศ ประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณา จักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกัน สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ ในโอกาสที่นายหวัง อี้ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26-29 ม.ค. สำหรับความตกลงฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2567 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ยกเว้นการตรวจลงตรา สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย และผู้ถือหนังสือ เดินทางกึ่งราชการ และหนังสือเดินทางธรรมดาของจีน ในการเดินทางเข้า-ออก หรือผ่านแดนของทั้งสองฝ่าย มีระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน รวมระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ภายในช่วงเวลา 180 วันใดๆ

“หวัง อี้” รับปากให้คนจีนมาไทยเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายหวัง อี้ เดินทางเยือนไทย อย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ วันเดียวกันนี้ยังเข้าร่วมการประชุมกลไกหารือระดับ รมว.ต่างประเทศไทย-จีน ครั้งที่ 1 เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้ง 2 ประเทศ

สำนักข่าวต่างประเทศมีการรายงานข่าวการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-จีน เรื่องการยกเว้นวีซ่าเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวของ 2 ประเทศ ระบุว่านักท่องเที่ยวชาวจีนถือเป็นรายได้หลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย แต่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยยังอยู่ในสภาพชะลอตัว สถิติปี 2566 อยู่ที่ 3.5 ล้านคน เมื่อเทียบกับสถิติปี 2562 ช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ 11 ล้านคน นายหวัง อี้ ยังให้คำมั่นว่าหลังจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยจะเพิ่มขึ้น

ตั้งเป้าถกงบฯ 67 วาระ 2-3 ช่วง เม.ย.

นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สัปดาห์นี้ กมธ.จะพิจารณางบประมาณมาตรา 15 ในส่วนของกระทรวงคมนาคมต่อ ภาพรวมการทำงาน กมธ.ยังเป็นไปตามกรอบเวลาที่ตั้งไว้ ตารางเวลาที่วางไว้คือเสร็จในช่วงเดือน มี.ค. จากนั้นช่วงเดือน เม.ย. จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯวาระ 2-3 การพิจารณาขณะนี้ไม่มีปัญหาอุปสรรคติดขัดอะไร หาก กมธ.สงสัยอะไรหน่วยงานก็ชี้แจงมา หน่วยงานใดที่ กมธ.สงสัยเยอะอาจต้องใช้เวลามาก

นายกฯฉลองวิวาห์คู่รักเลสเตอร์ฯ

ช่วงค่ำวันเดียวกัน ที่เดอะ พาวิลเลียน แอท ศรีวารี ถนนศรีวารีน้อย ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ร่วมแสดงความยินดีในงานฉลองสมรสพระราชทาน ระหว่างนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา “ต๊อบ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ กับ น.ส.นันทิสา ตันยงค์เวช “ออย” บุตรสาวคนที่สองของตระกูลธุรกิจชุดนักเรียนตราท็อป ท่ามกลางความยินดีของแขกเหรื่อคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย ในโอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระกรุณาเสด็จมาร่วมในงานฉลองสมรสฯของคู่บ่าวสาวเป็นการส่วนพระองค์ด้วย เช่นเดียวกับพระราชวงศ์บรูไนที่เสด็จมาทรงร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ ทั้งนี้ “ต๊อบ-อัยยวัฒน์” คุกเข่าสวมแหวนขอแต่งงาน “ออย-นันทิสา” เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยฝ่ายชายลงทุนปิดสนามฟุตบอลคิง เพาเวอร์ สเตเดียม หรือเลสเตอร์ ซิตี้ สเตเดียม ที่เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และเปลี่ยนอัฒจันทร์สนามฟุตบอลเป็นคำว่า “Marry Me” โชว์ความโรแมนติกให้สาวๆทั้งโลกได้อิจฉา เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “คู่รักเลสเตอร์ ซิตี้” ยังเปิดภาพพรีเวดดิ้งหวานผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกสไตล์สวนอังกฤษ

“บิ๊กโจ๊ก” คุย กสท.แก้หนี้เกษตรกร

อีกเรื่องที่กระทรวงการคลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้าเจรจาพูดคุยกับแกนนำกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย (สกท.) นำโดยนายยศวัจน์ ชัยวัฒนสิริกุล ที่ชุมนุมพักค้างแรมมาตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการจัดการหนี้สิ้นของเกษตรกร เห็นว่าคำสั่งแต่งตั้งยังไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของสมาชิก ขอให้แกนนำจัดทำบันทึกข้อเสนอและข้อเรียกร้องทั้งหมดเป็นเอกสาร เพื่อนำไปส่งมอบให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เพื่อพิจารณา ทั้งนี้ แกนนำผู้ชุมนุมรับปากจะชุมนุมด้วยความสงบ แต่ขอให้ตำรวจช่วยดูแลความปลอดภัยให้กลุ่มมวลชนที่จะเข้ามาสมทบอีกราว 1 พันคน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า การเจรจาวันนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ มวลชนรับปากว่าจะไม่เคลื่อนพลหรือจัดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ได้รับหนังสือข้อเรียกร้องทั้งหมดแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาความเดือดร้อนของภาคประชาชน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงจังจริงใจในการแก้ปัญหาปากท้อง

ถ้ารับไว้พิจารณาพร้อมสลายตัว

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ข้อเสนอที่ได้รับมาจากกลุ่มแกนนำ สกท. ต้องการให้รัฐบาลออกมารับปากว่าจะรับไว้พิจารณา หากได้รับการพิจารณากลุ่มมวลชนทั้งหมดพร้อมสลายตัวกลับภูมิลำเนา หากทุกกลุ่มที่มีปัญหาเดินทางมาชุมนุม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามเงื่อนไขชุมนุมด้วยความสงบ ไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหาการจราจร ยืนยันว่าทุกปัญหาสามารถจบได้ด้วยการเจรจา มีตัวอย่างให้ดูมาก่อนหน้านี้แล้ว การใช้กำลังหรือการปะทะไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาล ประชาชน หรือแม้กระทั่งภาพลักษณ์ ประเทศ ที่กำลังต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้กับประชาชน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่