“สรรเพชญ” สส.ประชาธิปัตย์ ซัด นโยบายการเปลี่ยน ส.ป.ก. 4-01 เป็น “โฉนดเพื่อการเกษตร” สร้างความสับสนให้เกษตรกร รัฐต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจใหม่ หวั่นกลุ่มทุนสวมสิทธิ์
วันที่ 20 มกราคม 2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นต่อกรณีที่มีการแจกโฉนด ส.ป.ก. ว่า แม้นโยบายการเปลี่ยนแปลง ส.ป.ก. 4-01 เป็นชื่อ โฉนดเพื่อการเกษตร จะเป็นการยกระดับของ ส.ป.ก. 4-01 แต่ในภาพรวมเห็นว่าจะเป็นนโยบายที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำกินในเขตปฏิรูปที่ดิน ในประเด็นของสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากการถือครองหนังสืออนุญาต ส.ป.ก. 4-01
นายสรรเพชญ ระบุต่อไปต่อว่า ตามกฎหมายประมวลที่ดิน คำว่า โฉนด คือหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินที่รัฐมอบไว้ให้เอกชนหรือบุคคลทั่วไป ดังนั้น ในทางกฎหมายและความเข้าใจทั่วไปของสังคมไทย ใครมีโฉนดที่ดิน ย่อมหมายความว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่ดินโดยชอบธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถซื้อขาย โอน จำนอง ค้ำประกัน ฯลฯ ได้ตามความประสงค์
ส่วนโฉนดเพื่อการเกษตร หรือ ส.ป.ก. 4-01 เดิมนั้น เป็นเพียงการยกระดับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพิ่มเติมให้เกษตรกร แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงเป็นของรัฐ เกษตรกรมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น หาใช่เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ ดังนั้น สาระสำคัญจึงอยู่ที่ประเด็นของกรรมสิทธิ์ หรือความเป็นเจ้าของนั่นเอง รัฐบาลจะใช้ชื่อเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ลืมว่าการรับรู้ทั่วไปของสังคมและตามกฎหมายประมวลที่ดิน คำว่าโฉนด บ่งบอกถึงสถานะความเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ของผู้นั้น
“เรามีโฉนด เท่ากับว่าเราสามารถขาย โอน จำนอง ค้ำประกัน ได้ตามความต้องการตราบเท่าที่เรายังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นๆ แต่นโยบายรัฐบาลที่เปลี่ยนหรือยกระดับ ส.ป.ก. 4-01 ไปสู่โฉนดเพื่อการเกษตร ซึ่งเกษตรกรที่ถือครองไม่ได้มีความเป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ อาจนำไปสู่การสร้างความสับสน ความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชน ดังนั้น ผมเสนอว่าให้รัฐบาลเร่งทำความเข้าใจนโยบายดังกล่าวเสียใหม่ เพื่อป้องกันความสับสน และไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าถูกหลอกให้หลงเข้าใจผิด”
...
ขณะเดียวกัน นายสรรเพชญ ยังกล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับสิทธิในการใช้ประโยชน์จากโฉนดเพื่อการเกษตร ว่า เมื่อมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้มีการโอน เช่า ได้แล้ว ก็เกรงว่าสุดท้ายโฉนดเพื่อการเกษตรจะอยู่ในกลุ่มของนายทุน โดยการสวมสิทธิ์ให้เกษตรกรตัวจริงถือครอง แต่ผู้ได้รับประโยชน์จากที่ดินนั้นกลับไม่ใช่เกษตรกร ซึ่งหมายถึงวัตถุประสงค์ของโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตรได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นเรื่องทางธุรกิจของกลุ่มทุนเสีย ซึ่งกระบวนการต่างๆ หลังจากนี้ของรัฐบาลจะต้องเข้มงวดและรัดกุม
ในช่วงท้าย นายสรรเพชญ ยังกล่าวด้วยว่า “เกรงว่าการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้มีการโอน เช่า โฉนดที่ดินเพื่อการเกษตร ได้จะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากที่ดินที่นอกเหนือไปจากด้านการเกษตร อันเนื่องจากการสวมสิทธิ์ที่อาจจะเกิดขึ้น หมายความว่าเกษตรกรเป็นผู้มีสิทธิครอบครองจริง แต่ผู้ใช้ประโยชน์กลับไม่ใช่เกษตรกร หากแต่อาจเป็นกลุ่มทุน สุดท้ายมันจะกลายเป็นเรื่องทางธุรกิจ เรื่องของกลุ่มทุน ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของโฉนดที่ดินเพื่อการเกษตร รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการพิสูจน์สิทธิ์และการใช้ประโยชน์จากที่ดินจริงอย่างเข้มงวด ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ผลประโยชน์ตกถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นเท่ากับเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่ดินทำกินให้ทวีคูณยิ่งขึ้น”