ศาล รธน.มีมติ 7 ต่อ 1 ฟัน “ศักดิ์สยาม” ซุกหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ ให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดตั้งแต่ 3 มี.ค.66 เจ้าตัวเคารพคำวินิจฉัย พร้อมไขก๊อกพ้นเก้าอี้เลขาฯพรรค ภท.-สส. “อนุทิน” ยันไม่กระทบพรรคเปิด 3 ตัวเต็ง “พิพัฒน์-ทรงศักดิ์-ไชยชนก” รอเสียบ เผยผู้ตรวจฯส่งคนพบ “ทักษิณ” ที่ชั้น 14 รองอธิบดีราชทัณฑ์แย้มเข้าข่ายได้รับการพักโทษกรณีพิเศษ “จุลพันธ์” แถลงสารภาพ “แจกเงินหมื่น” ไม่น่าทัน พ.ค. ซัดกฤษฎีกา-ป.ป.ช.-ธปท.มีธงไม่ให้โครงการนี้เดินหน้า ไม่เห็นวิกฤติการเห็นอกเห็นใจประชาชน แต่ยังโวเดินหน้าต่อ เป้าหมาย 50 ล้านคนตามเดิม “ศิริกัญญา” ดักคออย่าเอาหลังพิงองค์กรอิสระ แนะทางลงทำโครงการให้เล็กลง นายกฯคิวแน่นร่วมเวที WEF วันแรก

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 วินิจฉัยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 ในคดีซุกหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวนับแต่วันที่ 3 มี.ค.2566

...

ลุ้นศาล รธน.ชี้ชะตา “ศักดิ์สยาม”

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ม.ค. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มประชุมเพื่อลงมติ องค์คณะศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ ลงมติและอ่านคำวินิจฉัยในคดี ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ว่าสมาชิกภาพนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ จากกรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วน และเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วน จำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้น หรือกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี มาตรา 4 (1) ขณะที่บรรยากาศโดยรอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

มติ 7-1 ฟันซุกหุ้นให้พ้นจาก รมต.

ต่อมาเวลา 14.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย มีนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ผู้ถูกร้องเดินทางมาศาลด้วยตัวเอง ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า จากข้อพิรุธหลายประการ ประกอบพฤติการณ์แวดล้อมทั้งปวงแห่งคดี ฟังได้ว่านายศักดิ์สยาม และนายศุภวัฒน์ เกษมสุข (ผู้รับโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ) ตกลงนำเงินของนายศักดิ์สยามทำธุรกรรมต่างๆในนามนายศุภวัฒน์ ขั้นตอนสุดท้ายนำเงินนั้นซื้อกองทุนต่างๆในชื่อนายศุภวัฒน์ แล้วขายกองทุนดังกล่าวชำระค่าหุ้นแก่นายศักดิ์สยาม เช่นนี้เงิน 119.5 ล้านบาท ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม จึงยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น โดยมีนายศุภวัฒน์ครอบครองหุ้นของ หจก.บุรีเจริญฯ และดูแล หจก.บุรีเจริญฯ แทนนายศักดิ์สยามมาโดยตลอด อันเป็นการถือหุ้นของรัฐมนตรีอยู่ในความครอบครอง หรือดูแลของบุคคลอื่น ไม่ว่าโดยทางใดๆ เป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยามจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีนายศักดิ์สยามสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 82 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ วันที่ 3 มี.ค.2566

เจ้าตัวเคารพคำวินิจฉัยศาล รธน.

ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย นายศักดิ์สยามให้สัมภาษณ์ว่า รอคัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มภายใน 15 วัน ดูว่าศาลจะให้ปฏิบัติอย่างไร เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไร นายศักดิ์สยามตอบว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรเราเคารพคำวินิจฉัย เมื่อถามว่ามีผลต่ออนาคตทางการเมืองหรือไม่ เพราะเป็นการถูกตัดสินว่าตั้งนอมินีมาถือหุ้นแทน นายศักดิ์สยามตอบว่า ขอคัดคำวินิจฉัยก่อน

“อนุทิน” ชี้ไม่กระทบกับพรรค

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า ต้องน้อมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้จะมีขั้นตอนกระบวนการต่อไป ทั้งเรื่องของการดำรงตำแหน่ง แต่ขอสอบถามรายละเอียดก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากมีผลกระทบนายศักดิ์สยามคงดำรงตำแหน่งใดๆทางการเมืองไม่ได้ มองไม่กระทบพรรคเป็นเรื่องบุคคล เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะส่งผลไปถึงขั้นยุบพรรค นายอนุทินตอบว่า เป็นเรื่องจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบแจกแจงทรัพย์สิน นี่จึงเป็นเจตนารมณ์ในการแจ้งทรัพย์สินไป หากแจ้งไม่ถูกมีคนมาตรวจสอบก็ต้องแก้ไขให้ได้ หากแก้ไขไม่ได้ก็นำไปสู่การดำเนินคดี การร้องเรียนเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่พรรคยังเป็นพรรคดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป

ยอมสละเก้าอี้เลขาฯ ภท.-สส.แล้ว

นายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ได้รับหนังสือลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยจากนายศักดิ์สยาม มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567 เป็นต้นไป พรรคจะแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายทะเบียนพรรคการเมืองต่อไป และได้รับแจ้งจากนายศักดิ์สยามว่าได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็น สส. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567 เช่นกัน การลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ภท. และ สส. เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าคำพิพากษาจะไม่มีผลต่อตำแหน่งเลขาธิการพรรค และ สส. แต่ยินดีที่จะลาออก

“ชาดา” ลั่นอีกปีกว่าคืนสู่เก้าอี้ รมต.

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า โทรศัพท์ไปคุยกับนายศักดิ์สยาม ยังสนุกสนานเฮฮา ยืนยันไม่ได้ผิดอะไร แต่เมื่อศาลตัดสินแล้วต้องยอมรับ มีกำลังใจดี เป็นกติกาการเมืองรับได้หรือไม่ก็ต้องรับ แต่ที่สำคัญนายศักดิ์สยามไม่ได้ทุจริต เป็นเรื่องของบริษัทไม่มีอะไรเสียหาย ในอนาคตจะเห็นนายศักดิ์สยามกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแน่นอน แต่อยู่ที่ตัวท่านไปตอบแทนไม่ได้ แต่สมาชิกพรรคทุกคนยังยึดมั่นในตัวนายศักดิ์สยาม มั่นใจไม่มีผลกระทบต่อพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริต ไม่ได้โกง เมื่อถามว่าจะมีผลต่อการเซ็นรับรองผู้สมัคร สส.ลงเลือกตั้งหรือไม่ นายชาดาตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นการพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรี คนละเรื่องกฎหมายคนละฉบับ นายศักดิ์สยามยังเป็นเลขาธิการพรรคได้ พ้น 2 ปี ก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ ศาลเริ่มตัดสินตั้งแต่ วันที่ 3 มี.ค.2565 เหลืออีกปีกว่าก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้

เปิด 3 ตัวเต็งชิงเก้าอี้แม่บ้านใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ภท. และ สส.บัญชีรายชื่อ ส่งผลให้ น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อคนใหม่ ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคคนใหม่ คาดว่าอาจเป็นคนใดคนหนึ่งในสามคนนี้ ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน รองหัวหน้าพรรค นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย รองหัวหน้าพรรค และนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ลูกชายของนายเนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย

ผู้ตรวจฯส่งคนพบ “ทักษิณ” ชั้น 14

ช่วงสายที่กระทรวงยุติธรรม นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอนพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 120 วัน เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้เซ็นรับทราบการนอนพักรักษาตัวของนายทักษิณที่เกินมา 136 วัน ถือว่าเข้าเงื่อนไขและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย กรณีนายทักษิณถูกตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่มีตัวแทนขึ้นไปบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ และได้พบนายทักษิณ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่วนตัวก็เชื่อมั่นว่านายทักษิณนอนพักที่ รพ.ตำรวจจริง ไม่ได้อยู่คอนโดตามที่สังคมเคลือบแคลงสงสัย

นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงความคืบหน้าระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 หรือระเบียบคุมขังนอกเรือนจำว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์มีการประชุมและรายงานต่อคณะกรรมการราชทัณฑ์ ให้รับทราบถึงการดำเนินการ เพราะกฎกระทรวงกำหนดให้กรมราชทัณฑ์ต้องออกระเบียบนี้ ส่วนความคืบหน้าของระเบียบแนวทางการปฏิบัติ และกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขัง มารองรับ ระเบียบดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการ

เผยเข้าข่ายได้รับการพักโทษ

นายสิทธิยังกล่าวถึงประเด็นโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษว่า ผบ.เรือนจำฯแต่ละแห่งจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครมีความเหมาะสมหรือผ่านคุณสมบัติได้รับการพักโทษ ทั้งแบบกรณีมีเหตุพิเศษและแบบปกติ สำหรับคุณสมบัติของนายทักษิณ หากดูจากหลักเกณฑ์ที่ว่าเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลางสูงวัย และมีอาการเจ็บป่วย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาในโครงการพักการลงโทษ กรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป และนักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป แต่ถึงวันนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนกระบวนการหากนายทักษิณผ่านเข้าโครงการดังกล่าวจริงจะเป็นการดำเนินการโดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

รบ.เซ็ง ป.ป.ช.วางธงล้มดิจิทัลฯ

ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 10.30 น. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงถึงการเลื่อนประชุมคณะกรรมการโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่า เหตุที่เลื่อนการประชุมเนื่องจากมีเอกสารข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. จึงเห็นว่าควรเลื่อนประชุมก่อน รอให้เอกสาร ป.ป.ช.มาถึงพร้อมกันแล้วประชุมทีเดียว เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการต่อไป เอกสาร ป.ป.ช.แสดงความเห็นค่อนข้างตรงและแรงพอสมควรคัดค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลจะรับฟังนำมาพิจารณาประกอบ แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเอกสารดังกล่าวเป็นทางการแล้วหรือไม่ แต่เป็นเอกสาร ที่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ประธานกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นผู้ทำข้อเสนอแนะมา พร้อม รับฟังทุกความเห็น ทั้งข้อเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือความเห็น ป.ป.ช. ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าวางธงให้โครงการนี้เดินหน้าไม่ได้ บางองค์กร เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ป.ป.ช. มีความเห็นแตกต่าง มองไม่เห็นประเทศตกอยู่ในวิกฤติตามที่รัฐบาลบอก วิกฤตินี้ไม่ใช่เรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นวิกฤติการเห็นอกเห็นใจประชาชนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ รัฐบาลเดินทางไปทั่วประเทศ เห็นความเดือดร้อนประชาชน โดยเฉพาะต่างจังหวัดไม่ได้ทำงานในห้องแอร์ วันนี้ประชาชนต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

สารภาพแจกเงินหมื่นไม่ทัน พ.ค.

ผู้สื่อข่าวถามว่าคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ช. ขอให้ทบทวนโครงการนี้เพราะกลัวซ้ำรอยโครงการจำนำข้าว นายจุลพันธ์ตอบว่า รัฐบาลรับฟัง เปิดรับความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่เคยพูดว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อยากให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความเดือดร้อนประชาชน ขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดีต้องกระตุ้นให้เดินหน้าโครงการได้ “ผมต้องเรียนว่า วันนี้ถ้าดูกรอบเวลาไม่น่าทันเดือน พ.ค. รัฐบาลยืนยันว่าต้องดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป ถึงแม้จะไม่ทันกรอบเวลาในเดือน พ.ค. เพราะเมื่อดูจากข้อคิดเห็นที่ออกมา ต่อจากนี้ เราคงต้องรอให้ ป.ป.ช.ส่งหนังสือมา และเชิญคณะกรรมการนโยบายฯ มาประชุม นำความเห็น ป.ป.ช.และกฤษฎีกามาพิจารณาในครั้งเดียว และเริ่มกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม ทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่ยังไม่เห็นถึงเจตนาดีที่รัฐบาลพยายามทำ รัฐบาลต้องสื่อสารจนทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน เพื่อเดินหน้านโยบายนี้ให้ได้

ยังโว รบ.นี้ไม่ใช่อนุบาลการเมือง

นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องเดินหน้าทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นอนุบาลการเมือง เราเห็นอยู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร สิ่งที่ทำคืออะไร เรามีหน้าที่ทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกรอบกฎหมายให้ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน แก้ปัญหาให้กับประชาชน เมื่อถามว่าจะล้มเลิกการออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงินใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ตอบว่า ไม่ใช่ สุดท้ายต้องรอให้คณะกรรมการพูดคุยและตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างไร เมื่อถามย้ำว่ามีหนทางอื่นอีกหรือไม่นอกจากการออกเป็น พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน นายจุลพันธ์ตอบว่า ยังไม่ได้พูดคุย เมื่อถามว่ามีแผนสำรองอื่นหรือไม่หากโครงการนี้เดินหน้าต่อไม่ได้ นายจุลพันธ์ตอบว่า ยังไม่ให้คำตอบว่าไปไม่ได้กลไกภาครัฐมีเยอะ เรามีศักยภาพเพียงพอหาหนทางช่วยเหลือประชาชน มีหนทางอีกมาก ส่วนโครงการนี้จะมีจุดจบหรือไม่ ยังไม่ถึงจุดที่สามารถตอบได้ ยังไม่เห็นจุดนั้น เราจะเดินหน้าต่อไป

ดึงดันไม่ลดเป้าหมาย 50 ล้านคน

เมื่อถามว่ารัฐบาลจะถอยอีกหรือไม่ เช่น ลดวงเงินหรือลดกลุ่มเป้าหมายการแจกเงิน นายจุลพันธ์ตอบว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันได้ยินแค่จากสื่อ ยืนยันเป้าหมายการแจกยังเป็น 50 ล้านคนเหมือนเดิม ส่วนที่ฝ่ายการเมืองมองว่ารัฐบาลดันทุรังเดินหน้าต่อนั้น รัฐบาลไม่ได้ดันทุรังแต่มองถึงปัญหาเศรษฐกิจประเทศ การเจริญเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพ ถ้าไม่ลงพื้นที่สัมผัสประชาชนจะมองไม่เห็นจุดนี้ มาบอกว่าดันทุรังไม่ได้ เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่ทันในปีงบประมาณ 2567 นายจุลพันธ์ตอบว่า ไม่ได้กำหนดเวลา ต้องรอตามขั้นตอน เมื่อมีคำตอบที่ชัดเจนจากบางหน่วยงานแล้วจะประชุมเพื่อหาแนวทาง เมื่อนั้นเราถึงตอบได้

“ไหม” ดักคอหลังพิงองค์กรอิสระ

ขณะที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.ท้วงติงการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า เป็นเพียงคำแนะนำรับฟังไว้แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม หลายเรื่องที่มองแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช.ด้วยซ้ำ แต่หากเป็นข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์ รัฐบาลก็ควรรับฟัง แต่ไม่ควรมาเป็นจุดอ้างอิงว่าที่ไม่ได้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะ ป.ป.ช. หากโครงการนี้ไปต่อไม่ได้ก็ให้เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง ไม่ต้องเอาหลังพิงองค์กรอิสระ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเลื่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งที่สามารถพิจารณากันได้เอง โดยไม่ใช้ความเห็น ป.ป.ช.เป็นจุดเด่นควรรับฟังแต่ไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยน จุดตายของโครงการนี้ว่าจะไปต่อได้หรือไม่ ส่วนที่ ป.ป.ช.ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศยังไม่ถึงจุดวิกฤติ แต่มีความเสี่ยงจากหลายด้านนั้น หลายเรื่องที่ระบุตนเคยพูดมาแล้ว

แนะทางลงทำโครงการให้เล็กลง

เมื่อถามว่า ทางลงที่ดีที่สุดของรัฐบาลคือการยุติโครงการใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า คงมีโอกาสทำได้โดยการลดขนาดโครงการให้เล็กลงใช้วิธีการแนวทางที่เป็นไปได้ตามกฎหมายก่อน หรือจะไปแก้ไข พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังว่า ในกรณีที่รัฐบาลอยากจะกู้เงิน ประเทศอาจไม่จำเป็นต้องวิกฤติก็ได้ รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภาฯอยู่แล้ว หากรัฐบาลยังดื้อดึงใช้เงื่อนไขเดิมทั้งหมดจะเกิดปัญหาในอนาคต ให้รัฐบาลคิดทบทวนว่าจะหาทางลงให้โครงการนี้อย่างไรดี เมื่อถามว่ากังวลว่าจะซ้ำรอยกับโครงการจำนำข้าว น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า ไม่สามารถเทียบเคียงกับโครงการจำนำข้าวได้เลย ถ้าจะเทียบเคียงคงต้องเทียบเคียงกับ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท อยากให้คิดทบทวนอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน เรื่องอะไรที่ต้องทำทันที ต้องทำได้แล้ว อย่ามัวแต่รอดิจิทัลวอลเล็ต ต้องเริ่มทำด้วยงบกลางตอนนี้แม้จะมีอยู่น้อยก็ต้องออกโครงการอะไรขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนรู้สึกว่าการจับจ่ายใช้สอยมันคล่องตัวมากขึ้น

นายกฯคิวแน่นเอี้ยดร่วมเวที WEF

ที่สมาพันธรัฐสวิสเมื่อเวลา 06.20 น. วันที่ 17 ม.ค. (ช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ทวีตลง X เป็นภาพที่กำลังร่วมประชุมกับทีมงาน ระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2024 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 15-19 ม.ค. นายเศรษฐาระบุว่า“รับฟังบรรยายสรุปก่อนเข้าร่วมการประชุม WEF มีภารกิจแน่นและรอบด้าน ตั้งแต่เวลา 08.00-19.00 น. ต่อเนื่องตลอดทั้งวันครับ” สำหรับภารกิจวันแรกในการเข้าร่วมประชุม WEF ตามกำหนดการ นายกฯจะพบปะหารือบุคคลสำคัญ ภาคธุรกิจ และภาคเอกชนชั้นนำ ถึง 14 คณะ อาทิ ร่วมหารือ Country Strategy Dialogue (CSD) on Thailand เข้าร่วมการเสวนา Learning from ASEAN หารือ Sultan Ahmed bin Sulayem, Group Chairman and CEO บริษัท DP World เข้าร่วมกิจกรรม Thailand Landbridge : Connecting ASEAN with the World หารือกับผู้บริหารบริษัท Telenor หารือ Professor Klaus Schwab ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร WEF หารือ น.ส.วิโอลา อัมแฮร์ท ประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส เป็นต้น

ย้ำคำเดิมไทยเปิดประตูทุกด้าน

จากนั้นเวลา 08.00 น. ณ ศูนย์ประชุม Congress Centre เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มภารกิจแรกในกรอบ WEF ว่า ยังคงข้อความเดิมที่จะบอกคือประเทศเราเปิดแล้ว สำหรับการลงทุนเรามีความพร้อมในทุกด้าน ทั้งมาตรการสนับสนุนด้านภาษี หรือพลังงานสีเขียว เมื่อถามว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม จะนำเสนอโครงการแลนด์บริดจ์ให้กับนักลงทุนด้วยใช่หรือไม่ นายสุริยะตอบแทรกว่า ใช่ โครงการแลนด์บริดจ์นายกฯให้ความสำคัญมาก เราเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนจากหลายประเทศ เขาให้ความสนใจ

ให้ประชาชนตัดสิน สว.อภิปราย

นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีที่ สว.รวบรวมเสียงได้ 1 ใน 3 หรือจำนวน 84 เสียงขึ้นไป เพียงพอที่จะเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ได้แล้วว่า ว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญหากมีเสียงพอขอเปิดอภิปรายได้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารที่จะต้องตอบเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อข้องใจ เป็นไปตามกฎหมาย แต่ขอให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และมีวิธีการสื่อสารที่ถูกต้อง เมื่อถามว่ามีความเห็นอย่างไรที่มี สว.บางส่วนยอมรับว่าเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือนเร็วเกินไปที่จะอภิปราย ขณะที่รัฐบาลชุดที่แล้วไม่มีการอภิปราย นายเศรษฐาตอบว่า ไม่ขอวิจารณ์ถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่วนเหมาะสมหรือไม่ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน หากรวบรวมเสียงถูกต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแล้ว เป็นหน้าที่ที่จะต้องไปตอบ

ไม่เสียสมาธิเชื่อ รมต.ทำเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่าต้องกำชับรัฐมนตรีให้เตรียมพร้อมเป็นพิเศษหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ยังไม่ได้กำชับอะไร เพราะยังไม่มีการยื่นมา เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนทำงานเต็มที่อยู่แล้ว และทุกคนต้องพร้อมชี้แจงหากถูกพาดพิง เมื่อถามว่าจะขอร้อง สว.ว่าอย่าพาดพิงถึงคนนอกหรือไม่ นายกฯตอบว่า ตามความเหมาะสมและความถูกต้อง หากมีการตอบชัดเจนเป็นไปตามหลักนิติธรรมแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องพอ ยืนยันไม่เสียสมาธิในการทำงาน เพราะถือเป็นหน้าที่ที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แม้อาจจะเพิ่งเริ่มต้นทำงานก็ตาม แต่ถ้าถามว่าอยากเอาเวลามาทำงานเพื่อประเทศก็อยาก แต่หาก สว.มีข้อคลางแคลงใจและอยากอภิปราย ก็ไม่ขัดข้อง

สภาเสียงท่วมท้นไฟเขียว ก.ม.ฝุ่น

อีกเรื่องที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการอากาศสะอาดเพื่อประชาชน ที่ ครม.เสนอ และร่าง พ.ร.บ.เนื้อหาทำนองเดียวกันอีก 6 ฉบับ รวม 7 ฉบับต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว มี สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอภิปรายสนับสนุนมุ่งแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 สอดคล้องไปทางเดียวกัน เป็นห่วง PM2.5 มีความรุนแรงขึ้นทุกปี จำเป็นต้องมีกฎหมายควบคุมมลพิษทางอากาศเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่ หลังจากอภิปรายครบถ้วน ที่ประชุมลงมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 7 ฉบับ ด้วยคะแนนเอกฉันท์ท่วมท้น 443 ต่อ 0 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ 39 คน พิจารณาวาระ 2 ต่อไป

“วันนอร์” หนุนซาอุฯจัดเอ็กซ์โป

เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 16 ม.ค. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงริยาด สาธารณรัฐซาอุดีอาระเบีย (ช้ากว่าไทย 4 ชั่วโมง) ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงริยาด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ร่วมรับประทานอาหารที่ นายดามพ์ บุญธรรม เอกอัคร ราชทูต ณ กรุงริยาด เป็นเจ้าภาพเลี้ยงเนื่องในโอกาสเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ มีนายซามี บิน อับดุลลอฮ์ อัลอูบัยดี ประธานสภาธุรกิจซาอุดีอาระเบีย-ไทย และนายฮูเซ็น บิน นาซิรบิน อับดุลลอฮ์ อัลชารีฟ รองประธานคณะกรรมาธิการมิตรภาพรัฐสภาซาอุดี-ไทย เข้าร่วม นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า วันนี้ความสัมพันธ์ของไทยกับซาอุฯดีขึ้นอย่างมาก ต้องขอบคุณสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด พระมหากษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และมกุฎราชกุมารเจ้าชายมุฮัมหมัด บิน ซัลมาน อัลซาอุด ที่ให้โอกาสสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับไทย สร้างความยินดีแก่คนไทยและประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง คนไทยให้กำลังใจซาอุฯอยู่ตลอด เช่น เชียร์ฟุตบอลซาอุฯ ต่อไปจะเชียร์ทุกอย่าง ทั้งสินค้าการลงทุน จากนี้ไปรัฐสภาไทยจะเดินไปทิศทางเดียวกับสภาที่ปรึกษาราชอาณาจักรซาอุฯ และจะหาเสียงสนับสนุนซาอุฯจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โป 2030

สนใจลงทุนแลนด์บริดจ์ในไทย

นายดามพ์กล่าวว่า การเดินทางเยือนของประธานรัฐสภาส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ เพราะสภาที่ปรึกษาฯมีบทบาทสำคัญ โดยสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ให้คำปรึกษาทุกด้านได้เป็นอย่างดี วันนี้ซาอุฯตื่นตัวกับประเทศไทยมากอย่างเรื่องแลนด์บริดจ์ เขาแสดงความสนใจในด้านพลังงานและขนส่งหากโครงการเป็นไปตามนโบายเขาพร้อมพิจารณาลงทุน ขณะที่นายซามี อัลอูบัยดี ให้สัมภาษณ์ว่า ยินดีถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบนายวันมูหะมัดนอร์ เราได้หารือความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการลงทุนกันให้มากยิ่งขึ้น ตอนนี้มีบริษัทไทยลงทุนในซาอุฯ 30 บริษัท เชื่อเจ้าชายมุฮัมหมัดที่ลงมาดูเอง จะช่วยให้การส่งเสริมการลงทุนสำเร็จ

“อานนท์” อ่วมศาลสั่งจำคุกอีก 4 ปี

ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายอานนท์ นำภา อายุ 40 ปี แกนนำหลายม็อบเป็นจำเลยในความผิดดูหมิ่นสถาบัน ตาม ป.อาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 อัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1, 3 ม.ค.2564 จำเลยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กชื่อ อานนท์ นำภา รวม 3 ข้อความ มีเนื้อหาผิดตาม ป.อาญามาตรา 112 และให้ศาลบวกโทษจำคุกจำเลยคดีความผิดของศาลอาญานี้ และของศาลอื่นด้วย เหตุเกิดที่ อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด และท้องที่อื่นเกี่ยวพันกัน ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษตาม ป.อาญามาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุดพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา และให้บวกโทษกับคดีดำ อ.2495/2564 ของศาลอาญา ส่วนคดีอื่นๆที่ขอให้ศาลบวกโทษนั้นเนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษาให้ยกในส่วนนี้ มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกนายอานนท์ไปแล้ว 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับ 2 หมื่นบาท กรณีปราศรัยที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อปี 2563

ปรับ 2 หมื่นพันธมิตรฯปิดดอนเมือง

อีกคดี ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 31 คน (ตาย 1 เป็นนิติบุคคล 1 คน คงเหลือ 30 คน รักษาตัว ที่โรงพยาบาล 3 คน) ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นกบฏ ก่อการร้ายฯบุกรุกสถานที่ราชการ อัยการฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค.2551 ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาชุมนุมใหญ่ปิดล้อมอาคารในท่าอากาศยานดอนเมือง ทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท เพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯขณะนั้น ลาออก นัดนี้กลุ่มจำเลยเดินทางมาศาล อาทิ นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายพิภพ ธงไชย, นายรัชต์ชยุตม์ หรืออมร ศิริโยธิน, นายพิชิต ไชยมงคล, น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และนายสันธนะ ประยูรรัตน์ ส่วน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ยังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล ฟังคำพิพากษาผ่านสื่อโซเชียล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลย 1-5, 7-13 และ 31 ผิดเฉพาะฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และบุกรุกสถานที่ราชการ ลงโทษปรับคนละ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 14-30 ฟังไม่ได้ว่ากระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่