“สว.สถิตย์” อภิปรายหนุน EXIM BANK เสริมเขี้ยวเล็บ SME ไทยไปเวทีโลก ชี้ อยากให้ทุ่มเทความสนใจและทรัพยากรให้มากกว่าเดิม 

วันที่ 9 มกราคม 2567 นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวในระหว่างการประชุมวุฒิสภา เกี่ยวกับประเด็นธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ว่า ธนาคารนี้ก่อตั้งเมื่อปี 2536 เพื่อให้บริการทางการเงิน สนับสนุนการค้า การเงิน การลงทุน การค้าระหว่างประเทศ และพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปี 2564 ที่ขยายบทบาทเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนา (Development Bank) ที่จริงแล้วธนาคารก่อตั้งขึ้นด้วยเจตจำนงที่จะให้เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอยู่แล้ว โดยเน้นให้บริการทางการเงิน การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งในปีที่ผ่านมาธนาคารก็บรรลุภารกิจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

นายสถิตย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ธนาคารเพื่อการพัฒนาฯ มีบทบาทที่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญ คือ ธนาคารพาณิชย์มุ่งประสงค์ในเรื่องของกำไรเป็นหลัก ในขณะที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาฯ มุ่งประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะในพันธกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ด้านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าฯ ได้วางตำแหน่งพันธกิจตนเองชัดเจนว่าเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการในด้านการบริการการเงิน การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ แนวคิดของธนาคารเพื่อการพัฒนาฯ มีทั้งในระดับโลก ระดับทวีป และระดับประเทศ ในระดับโลกมีธนาคารโลก (World Bank หรือ International Bank for Reconstruction and Development) ในระดับทวีปมีธนาคารพัฒนาแห่งยุโรป (European Bank for Reconstruction and Development) ในเอเชียมี ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian development ank) ในระดับประเทศ ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายรวมทั้งประเทศไทยมีการก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา คือให้บริการทางการเงินที่ไม่ได้มุ่งกำไรสูงสุด แต่มุ่งประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก ซึ่งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ได้จัดตั้งขึ้นมาตามแนวคิดนี้ด้วยเช่นกัน

...

“การดำรงอยู่ของธนาคารฯ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำรงตนเยี่ยงธนาคารที่สามารถดำรงตนอยู่ได้โดยมีกำไรอยู่พอสมควร อยู่ในกรอบของหนี้ด้อยคุณภาพที่เหมาะสม ดังนั้น แม้ว่าธนาคารจะมีกำไรน้อยลง และมีหนี้ด้อยคุณภาพที่มากขึ้นในปีที่ผ่านมา ก็ไม่ควรกังวลเรื่องเหล่านี้มากจนเกินไป อีกทั้งการจัดการอัตราเงินทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังคงสูงกว่าเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดไว้ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8.5 ซึ่งถือว่าได้มีการบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เมื่อสถานะของธนาคารมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ จึงอยากให้ธนาคารมุ่งมั่นไปในเรื่องของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอย่างจริงจัง มุ่งมั่นในภาคธุรกิจที่จำเป็นในการพัฒนาทั้งปัจจุบันและอนาคต”

นายสถิตย์ เผยต่อไปว่า ที่อยากจะเน้นคือให้มีการส่งเสริมในภาคส่วน SME ให้มาก รวมถึง SME ที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตร แม้ว่าธนาคารจะให้ความสนใจอยู่แล้ว แต่อยากให้ทุ่มเทความสนใจและทรัพยากรให้มากกว่าเดิม เพราะเป็นภาคส่วนที่จำเป็นต้องพัฒนา แต่แน่นอนที่สุดบทบาทของธนาคาร คือ บริการทางการเงินเกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศ ไม่ได้ไปช่วย SME ในฐานะที่เป็น SME ไม่ได้ไปช่วยเกษตรในฐานะเกษตร แต่ไปช่วยให้บริการทางการเงินเพื่อให้เขาเหล่านั้นออกไปสู่ตลาดโลกได้ ไปสู่การค้าระหว่างประเทศได้ 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้าย นายสถิตย์ ระบุด้วยว่า เมื่อธนาคารทำหน้าที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาด้วยการดูแลผู้ประกอบการ SME เพื่อการส่งออก การประเมินความสำเร็จของธนาคารจึงไม่ควรยึดมั่นในหลักการประเมินเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ หรือยึดถือตัวชี้วัดเชิงพาณิชย์เป็นหลัก เพราะอาจจะทำให้ผู้บริหารธนาคารฯ กังวลในตัวชี้วัดเชิงพาณิชย์มากเกินไป การประเมินจึงต้องวางหลักเกณฑ์ว่ามีการพัฒนาอะไรขึ้นมาบ้างในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริการทางการเงินในการส่งออกระหว่างประเทศ ที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการพัฒนาเพื่อการส่งออก ทั้งนี้ บทบาทของธนาคารที่สนับสนุนเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต เช่น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และการรักษาสิ่งแวดล้อม นับเป็นบทบาทการพัฒนาที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งที่ธนาคารดำเนินการได้ดีสอดคล้องกับยุคสมัย.