บทเรียนจากความพ่ายแพ้เลือกตั้งที่ผ่านมาย่อมเป็นเรื่องที่ “เพื่อไทย” ต้องคิดและตระหนักมากกว่าการเลือกตั้งที่เคยเป็นผู้ชนะมาตลอด

“เพื่อไทย” ได้ 141 ที่นั่งมาอันดับ 2 แพ้ “ก้าวไกล” ที่ได้ 151 ที่นั่ง ความต่างในตัวเลขดูไม่มากนัก แต่ความเป็นผู้แพ้นั้น

มันเสียดแทงใจมาก เพราะนอกจากจะเสียเหลี่ยมให้พรรคการเมืองเล็กๆแล้วในทางการเมืองถือว่าเป็นความตกตํ่าอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่งสำหรับผู้บริหารพรรค

ก่อนเลือกตั้ง “เพื่อไทย” มาฟอร์มใหญ่ประกาศ “แลนด์สไลด์” หวังตั้งรัฐบาลพรรคเดียวชูนโยบายประชานิยม “ดิจิทัลวอลเล็ต” หัวละ 10,000 บาท

ตั้ง “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพร้อมกับ “เศรษฐา ทวีสิน” เพื่อหวังว่าไม่คนใดคนหนึ่งจะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30

แต่เมื่อเป็นพรรคอันดับ 2 ก็ต้องต่อคิวให้พรรคอันดับ 1 ดำเนินการก่อน ปรากฏว่า “ก้าวไกล” ที่มี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรคไม่สามารถก้าวไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรีได้

“เพื่อไทย” ที่ผลักดัน “เศรษฐา” เป็นนายกรัฐมนตรีได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลสำเร็จ ตั้งรัฐบาล 11 พรรค 314 เสียง บริหารประเทศในทุกวันนี้

“อุ๊งอิ๊ง” ได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค “เพื่อไทย”

ฉายแววความเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 มาแต่ไกล เพราะนอกจากจะเป็นลูกสาว “ทักษิณ” แล้วยังคุม “เพื่อไทย” อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

รอเพียงนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปเท่านั้น

ทว่าการจะเป็นผู้นำประเทศในเวลานี้คงไม่เหมาะเพราะ “เศรษฐา” ยังเป็นอยู่ก็ต้องรอไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่วางโปรแกรมไว้คืออีก 4 ปีครบเทอม

...

แต่นั่นต้องหมายความว่า “เพื่อไทย” ต้องชนะเลือกตั้งและเป็นแกนนำรัฐบาลแม้ยังมีเวลาอีกนานพอสมควรที่จะทำให้พรรคแข็งแกร่ง และได้รับความพอใจจากประชาชนผู้สนับสนุน

พูดง่ายๆว่าต้องชนะลูกเดียว...เท่านั้น

คู่แข่งสำคัญที่มองไปรอบทิศแล้วก็มีเพียง “ก้าวไกล” ที่สมนํ้าสมเนื้อที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองของประเทศไทย

“ก้าวไกล” นั้นเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ที่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่พวกเขาหวังว่า นี่คือพรรคที่จะทำให้ทุกอย่างในประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้

นี่คือสิ่งที่ “เพื่อไทย” จะต้องคิดและวางแผนทุกย่างก้าว ด้วยความสุขุมรอบคอบ ตกหล่นแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้

การเตรียมการต่างๆจึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะการดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นพลัง จากการให้ “อุ๊งอิ๊ง” เป็นหัวหน้าพรรค และทีมงานบริหารที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่นั้น ถือว่ามาถูกทางแล้วระดับหนึ่ง

อีกทั้งต้องสร้าง “บ้านใหญ่” ซึ่งเป็นฐานสำคัญในจังหวัดต่างๆให้ตื่นขึ้นมาสู้อีกครั้ง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ให้ 3 นักการเมืองรุ่นใหญ่ลาออกจากตำแหน่ง สส.ให้เหลือเพียงตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้นก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

เพื่อให้นักการเมืองอีกส่วนหนึ่งในรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ได้ขยับขึ้นมาแทนที่ เพื่อให้ขึ้นมามีบทบาททางการเมือง เสริมบารมีให้หัวหน้าพรรคลดบทบาทคนรุ่นเก่า

วันนี้ “ก้าวไกล” แม้จะเป็นฝ่ายค้าน แต่ก็ยังโดดเด่นในระดับแกนนำ

ซึ่ง “อุ๊งอิ๊ง” จะต้องแสดงความเป็นผู้นำที่โดดเด่น ณ วันนี้เป็นต้นไป!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม