หยิกหยอกแสบๆ คันๆ นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา ประชุมหารือตั้งฉายาให้ฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ ในช่วงปลายปี ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาทุกปีสำหรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลที่มาโดยรูปแบบอื่น จะต้องสุมหัวหารือกันเครียดว่าจะตั้งหรือไม่ตั้งฉายา
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ครม. และสส. เพิ่งทำงานได้เพียง 3 เดือนเศษ ดังนั้นปีนี้ฉายาจึงมาแบบคนละครึ่ง ไม่จัดเต็มเหมือนอย่างเคย
ตรวจถ้อยคำ ความหมายออกไปในแนวละมุนละม่อม ประนีประนอม
แต่โดยปกติแล้วไม่ว่านักข่าวจะตั้งฉายาแรงแค่ไหน นักการเมืองธรรมชาติ หรือนักการเมืองพันธุ์แท้ ส่วนใหญ่จะออกลีลาคล้ายๆกัน เมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้
ไม่ทำเป็นตลกกลบเกลื่อน ก็ทำเป็นแกล้งงง ตีมึนไม่เข้าใจความหมาย ก่อนตบท้ายเป็นเรื่องเฮฮา หักมุมดีใจที่นักข่าวจำได้ คิดถึงกัน ไม่ได้เป็น รมต.โลกลืม
ไม่มีใครแสดงความไม่พอใจ โชว์อารมณ์ฉุนเฉียว หัวฟัดหัวเหวี่ยงให้เสียฟอร์ม
...
ฉายารัฐบาลสื่อก็ต้องสะท้อนตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น “แกงส้มผลักรวม” พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้อันดับ 1 แต่แพ้เกมตั้งรัฐบาล ถูกรวมหัวผลักออกไปเป็นฝ่ายค้าน
เพื่อไทยเพื่อนรักหักเหลี่ยมไปจับมือ “2 ลุง” จัดตั้งรัฐบาลกับฝั่งอนุรักษ์นิยม ข้ามขั้วมั่วทุกสี เพื่อไทยเข้าวินเกมการเมืองทุกด้าน เป็นแกนนำรัฐบาล ได้ตำแหน่งนายกฯ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้กลับบ้าน
แต่ในแง่กระแสนิยมประชาชนติดลบรุนแรง ตอนนี้กำลังเร่งหาทางทำคะแนน กู้กระแสกลับมาด้วยการปั่นผลงานแก้วิกฤติเศรษฐกิจปากท้อง หนทางเดียวที่ทำได้ และต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว
คนที่ต้องรับบทหนัก เหนื่อยกว่าใครคือ “นายกฯนิด” วิ่งวุ่นมือระวิงทั้งในและนอกประเทศ ทำงานรวดเร็ว ฉับไว ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เต็มไปด้วยความกดดัน
นักการเมือง ประชาชน หรือแม้แต่ตัวนายกฯเอง รู้ดีถึงที่มาที่ไปจนสามารถเป็นนายกฯวันนี้ได้เพราะใคร
ฉะนั้นผู้สื่อข่าวทำเนียบฯเลยตั้งฉายาให้เป็น “เซลส์แมนสแตนด์ชิน”
และไม่ว่ายังไงตอนนี้นายกฯเศรษฐาก็ยังคงถูกมองว่าไม่ใช่ตัวจริง เป็นแค่สแตนด์อิน ยังเห็นเงา “ชินวัตร” ทาบทับอยู่เบื้องหลัง ตราบใดที่ “นายกฯนิด” ยังไม่เด่นขึ้นมาด้วยตัวเอง หรือสร้างผลงานให้คนชื่นชอบเฉพาะตัว
และแน่นอนว่ามีคำถามมากมายถึงลำดับชั้นสั่งการ และอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง
หากไม่มีสิ่งนี้ จะส่งผลให้ทำงานลำบาก ในฐานะผู้นำที่โหยหาความสำเร็จ จะยิ่งกดดันหนักขึ้นไปเรื่อยๆ
เรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่นายกฯสั่งการไปแบบขึงขัง ขอให้ขยับเพิ่มสูงกว่าเดิม แต่ปรากฏว่านายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน จากพรรคภูมิใจไทย กลับรับไปดำเนินการแบบได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
สุดท้ายกรรมการไตรภาคี กระทรวงแรงงานยืนยันอัตราเดิม รัฐมนตรีค่ายน้ำเงินก็ชิลๆ ไม่ลุยหักดิบ ทั้งที่กรรมการ 3 ฝ่าย อยู่ในมือตัวเองแล้ว 2 ชนะเห็นๆ แค่ออกแรงนิดเดียว
แต่กลับมารายงานนายกฯว่าปีนี้ขึ้นให้เป็นของขวัญปีใหม่แรงงานไม่ได้ ต้องรอไปจนถึงช่วงสงกรานต์ปีใหม่ไทย หักหน้านายกฯกันจังๆ
แต่กลับไม่เห็นอาการขึงขัง ไล่เฉ่งตามสไตล์ของ “นายกฯนิด” นิ่งเงียบผิดสังเกต รมว.แรงงานก็ชี้แจงแก้ต่างไปเหมือนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
ทั้งที่ความจริงนายกฯในฐานะผู้บริหารจัดการอำนาจ ต้องมีลูกเด็ดขาดมากกว่านี้ มิฉะนั้นต่อไปสั่งงานอะไรใคร ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นแบบนี้ สุดท้ายงานใหญ่ภาพรวมเสียหายหมด
มือไม้ใช้ไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเหลือ นายกฯถึงต้องลุยทำงานคนเดียว วันแมนโชว์อยู่อย่างนี้
หาก “นายกฯนิด” ยังมีท่าทีเหมือนเสือกระดาษ ใครจะกริ่งเกรง ข้าราชการก็จะทำงานเช้าชามเย็นชามเหมือนเดิม
อย่างล่าสุด จู่ๆก็มีการโยกอำนาจกำกับดูแลกระทรวงของรองนายกฯ ไม่ให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ย้ายงานกันดื้อๆ ทั้งที่มีความถนัด เพิ่งเป็น รมว.ยุติธรรมหมาดๆสมัยที่แล้ว
ถ่ายโอนเอาไปให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน กำกับดูแลแบบค้านสายตา
นั่นเพราะ “สมศักดิ์” ออกมาทิ้งบอมบ์ใส่ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม และพุ่งเป้าไปที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ขาดความรู้ความเข้าใจ เงอะงะ กลัวๆ กล้าๆ ในเรื่องการชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับอดีตนายกฯทักษิณ
สงสัยว่าอาการเงอะงะ เลี่ยงๆ มึนๆ น่าจะเป็นผลดีมากกว่า
ในสถานการณ์คาบลูกคาบดอก กำลังถูกจ้องจับผิด.
ทีมข่าวการเมือง