"นพ.พรหมินทร์" เลขาธิการนายกฯ ย้ำ ยังไม่ปรับ ครม. และไม่เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี โวผลงานรัฐบาล 108 วัน ประสบผลสำเร็จ ครอบคลุมแก้วิกฤติเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การเมือง และสังคม

วันที่ 27 ธ.ค. 66 นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปภาพรวมการทำงานของรัฐบาล 108 วัน ว่า รอบ 3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลดำเนินการทุกงานอย่างมียุทธศาสตร์ โดยแบ่งเป็นการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต ลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ทั้งการแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ ลดค่าพลังงาน กระตุ้นการท่องเที่ยว และนายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญกับภารกิจต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเปิดตลาด ดึงดูดการค้าการลงทุนจากภาคเอกชนใหม่ๆ สร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV ในไทย เพื่อพลังงานสะอาด และผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลมาส่งเสริมการทำงานอย่างมีศักยภาพ ส่วนด้านสังคมและกระบวนการความยุติธรรม เน้นการแก้ปัญหายาเสพติด นำผู้เสพยำบัดรักษา ตัดตอนผู้ค้า และเผาทำลายยาเสพติดทันทีที่จับกุมได้ รวมถึงเร่งแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในภาพรวมด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลผลักดันนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ เพิ่อดึงศักยภาพของคนไทยมาใช้ในการสร้างรายได้ และยังให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรด้วย เน้นการลดต้นทุนการผลิต และสร้างรายได้ พร้อมเปลี่ยน ส.ป.ก.เป็นฉโนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่ดินให้กับเกษตรกรให้มีที่ดินทำกิน


สำหรับปีหน้ารัฐบาลยังคงมุ่งมั่นแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยการหาตลาดโลกรองรับภาคการเกษตร และยืนยันโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน โดยรัฐบาลจะทำให้ข้อถกเถียงยุติลงอย่างชัดเจน และขณะนี้เป็นขั้นตอนนำไปสู่การปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยรอฟังความเห็น และข้อแนะนำจากกฤษฎีกาก่อน เพื่อนำมาปรับให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนส่งเรื่องไปยังสภา เพื่อขอกู้เงินมาดำเนินนโยบายต่อไป เชื่อว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน พร้อมย้ำทุกอย่างได้พิจารณาข้อกฎหมายมาเป็นอย่างดี และรัฐบาลมีจุดมุ่งหมายชัดเจนคือยึดมั่นประโยชน์ของประชาชน ส่วนความรับผิดชอบในอนาคตก็ยืนยันว่าความรับผิดชอบสำคัญคือรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะทำให้ประชาชน โดยย้ำว่าไม่ได้มีความพยายามจะทำผิด หรือแหกข้อกฎหมาย แต่ทุกอย่างได้ซึกษากฎหมายมาอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาสะดุดแล้ว

...

ทั้งนี้ยอมรับว่ายังมีสิ่งที่รัฐบาลไม่สามารถทำได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะเป็นเหตุที่ไม่คาดคิด เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลาง การสู้รบระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ซึ่งรัฐบาลก็เร่งประสานงานให้ความช่วยเหลือคนไทยโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามในรอบ 3 เดือน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกอบกู้เกียรติภูมิประเทศไทยในเวทีโลก ทำให้สามารถเปิดตลาด และฟื้นความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ เพราะมั่วโลกเชื่อมโยงกันหมด ทั้งการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นบทบาทสำคัญที่ส่งผลตรงต่อประชาชนคนไทย ขณะเดียวกันมองว่ากอบกู้วิกฤติต่างๆ รัฐบาลสามารถทำได้เร็ว และมีจุดเด่น คือ เป็นรัฐบาลของประชาชน แม้จะมีหลายพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม เพราะเอาปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง และร่วมกันหาการขจัดอุปสรรค โดยเฉพาะข้อกฎหมายต่างๆ ทำให้การดำเนินธุรกิจต่างๆ ง่ายขึ้น

นอกจากนี้เชื่อว่าผลงานรัฐบาลสำเร็จทุกอย่าง เพราะยึดมั่นตามที่หาเสียงไว้ และดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องขอโอกาสทำงาน เนื่องจากการ "ได้พูดกับได้ทำต่างกัน" ส่วนการเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน รัฐบาลจะใช้ความจริงใจ และการฏิบัติเป็นสำคัญ

สำหรับกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ย้ำว่า ตนเองเป็นเหยื่อการรัฐประหารมาตั้งแต่ปี 2549 และรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ถูกปรับแก้ เป็นฉบับปี 2550 และ 2560 โดยให้อำนาจ สว.เลือกนายกรัฐมนตรี แต่กลับไม่ยึดโยงกับประชาชน ดังนั้นเป้าหมายคือรื้อโครงสร้างเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชน ขณะที่หากจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ต้องถามก่อนว่าปรับเพื่ออะไร หากเป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือมีคนที่เหมาะสมมาทำงาน หรือปรับให้การทำวานคล่องขึ้นก็สามารถปรับได้ ซึ่วเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ใช่การปรับ ครม.เพื่อเสถียรภาพ

และย้ำว่าปัจจุบันนายกรัฐมนตรีชื่อ "เศรษฐา ทวีสิน" ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องปรับเปลี่ยนในตอนนี้ พร้อมย้ำรัฐบาลยังมีความแน่นเหนียว

สำหรับการตั้งข้อสังเกตเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่มีการมองว่าถูกสั่นคลอนจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ย้ำว่า ในกรอบกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิเดียวกัน ยึดหลักนิติธรรม และต้องไม่มี 2 มาตรฐาน ส่วนจะดึง นายทักษิณ มาให้คำแนะนำการบริหารราชการหรือไม่ มองว่าหากบุคคลนั้นมีความคิดความเห็นที่เป็นประโยชน์กับชาติ รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกเสียง ซึ่งยืนยันนายกรัฐมนตรีพร้อมรับฟังทุกข้อคิดเห็นที่ดีอย่างแน่นอน และย้ำไม่มีการปรับกองทัพ แต่รัฐบาลให้เกียรติ และทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่.