ปัญหาเก่าๆเดิมๆ “ฝุ่นพิษ”พีเอ็ม 2.5 ซึ่งเป็นวิกฤติประจำปีของประเทศกลับมาอีกแล้ว ปีนี้ฝุ่นพิษที่สูงเกินค่ามาตรฐานลามไปถึง 42 จังหวัด จากทั้งหมด 77 จังหวัด จังหวัดที่กระทบสุขภาพสีแดง 4 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร นนทบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ 22 เขต

กทม. ที่กลายเป็นพื้นที่สีแดง ได้แก่ บางกอกใหญ่ ธนบุรี หนองแขม คลองสาน ภาษีเจริญ สัมพันธวงศ์ บางกอกน้อย ฯลฯ อีก 22 เขต มีฝุ่นพิษเกินมาตรฐานระดับสีส้ม ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่ตรวจพบว่ามีฝุ่นพิษเกินมาตรฐาน ได้แก่ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทร ปราการ พิษณุโลก อุทัยธานี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม หนองคาย กาฬสินธุ์ นครราชสีมา แต่ไม่มีภาคใต้

ฝุ่นพิษกลายเป็นปัญหาประจำปีของประเทศไทย ต้นตอของปัญหามักจะชี้ไปที่การเผาป่าในภาคเหนือ ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เป็นต้น นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดก่อน เคยถูกประชาชนฟ้องศาลปกครองและประชาชนเป็นผู้ชนะ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนฝุ่นพิษปีนี้มาพร้อมกับรัฐบาลใหม่ แต่คณะผู้บริหารส่วนใหญ่ (ยกเว้นนายกรัฐมนตรี) เป็นหน้าเดิมๆ แต่มีสิ่งใหม่คือรัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ. “อากาศ สะอาด” เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศอย่างจริงจัง แต่เรื่องยังอยู่ที่คณะกรรมการ กฤษฎีกาเจ้าเก่า

จึงเชื่อว่า กว่าร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา ก็อาจปาเข้าไปถึงเดือนพฤษภาคม 2567 เข้าสู่หน้าฝนฝุ่นพิษก็จะเจือจางลงไป จนอาจไม่มีใครสนใจ ยกเว้นรัฐบาลที่ทำท่าจะเอาจริง กฎหมายใหม่จะมีคณะกรรมการแห่งชาติ เพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศที่มีอำนาจจริงจัง

กระทรวงพาณิชย์ที่ร่วมเป็นกรรมการจะมีอำนาจห้ามนำเข้าสินค้าที่มาจากการเผาป่า เช่น ห้ามนำข้าวโพดดังกล่าวที่เกิดจากการเผาป่าหรือเผาไร่ข้าวโพด แต่มีบางฝ่ายทักท้วงว่าฝุ่นพิษ ไม่ได้เกิดจากเผาป่าอย่างเดียว แต่เกิดจากรถยนต์ โรงงาน และอื่นๆมากมาย ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า เนื้อย่าง ไก่ย่าง ก็เป็นเหตุหนึ่ง

...

แต่เมื่อถึงฤดูฝนในปีหน้า ปัญหาฝุ่นพิษค่อยๆจางลง ไม่ทราบว่ารัฐบาลจะยังเอาจริงเอาจังแค่ไหนในการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศจากทุกต้นตอ เพราะเป็นเรื่องที่นำมาหาเสียงยาก ต่างจากนโยบายประชานิยมลดแลกแจกแถมที่พรรคเพื่อไทยเชี่ยวชาญ เดือน พ.ค. 2567 เป็นเดือนที่หวังว่าจะแจกเงินหมื่นได้.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม