“เศรษฐา” ลุยกล่อมนักลงทุนยุ่น ถกเจโทรเพิ่มลู่ทางลงทุนไทย-ญี่ปุ่น คุยยักษ์ใหญ่ “คูโบต้า” ขอเทคนิคการผลิตให้เกษตรกรไทย “ลูกหาบเพื่อไทย” เต้นเหยงดาหน้าซัด “พิธา” ชำแหละผลงาน 90 วันโต้ย้อนแย้งแต่หัววัน แซะ 10 เดือน สว.หมดอายุยังรอได้ แต่รอรัฐบาลปั่นงานไม่ได้ ทำตัวสร้างซีนหิวแสง ย้อนศร ซัด “ด้อมส้ม” ยกย่อง “ก้าวไกล” เล่นเกมสภาฯล่มผลาญภาษีประชาชน รทสช.จ่อชงเลื่อนประชุม กมธ.ให้เวลา สส.แสดงตนแก้เกมเช็กองค์ประชุม “โรม” แขวะเนื้อใน “นายกฯนิด” เมินสภาฯประเภทเดียวกับ “ลุงตู่” ปชป.ยืนกรานค้านนิรโทษคดี 112-ทุจริต เตือนขืนดึงดันจุดไฟขัดแย้งแน่ ขณะที่“อภิสิทธิ์” ออกโรงสวมบทกูรูชี้ทางออกนิรโทษ สอนมวยบริหารความเชื่อมั่น

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังฟิตเปรี๊ยะปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมประชุมอาเซียน-ญี่ปุ่นอย่างแข็งขัน ขณะที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย พากันออกมาตอบโต้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ตั้งโต๊ะชำแหละผลงาน 90 วันรัฐบาล เป็นพัลวัน

“เศรษฐา” ถกเจโทรเพิ่มลู่ทางลงทุน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ธ.ค. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโตเกียว เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชม.) ที่โรงแรม Okura Tokyo กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พบหารือกับนายโนริฮิโกะ อิชิกุโระ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือเจโทร (Japan External Trade Organization : JETRO) นายเศรษฐากล่าวว่า ขอบคุณเจโทรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทยอย่างดีมาโดยตลอด มีบทบาทสำคัญกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนของไทย-ญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งทำวิจัยด้านเศรษฐกิจ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารแก่บริษัทญี่ปุ่นเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาลไทย ส่งผลให้บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก และขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ด้านนายโนริฮิโกะกล่าวว่า เจโทรพร้อมส่งเสริมเพิ่มพูนการค้าการลงทุนของไทยกับญี่ปุ่นโดยเฉพาะด้านนวัตกรรม และนวัตกรรมแบบเปิด (open innovation) การมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาสังคม ประสิทธิภาพด้านทรัพยากรมนุษย์ของไทย-ญี่ปุ่น เจโทรพร้อมร่วมมือดึงการลงทุนเพิ่มเติมมายังประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทย

...

ขอ “คูโบต้า” หนุนเทคโนโลยีการผลิต

จากนั้นเวลา 09.30 น.นายเศรษฐาพบหารือกับผู้บริหารบริษัท Kubota บริษัทผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรอันดับ 1 ในญี่ปุ่น และอันดับ 3 ของโลก ที่ทำการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี และการบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการทางการเกษตร และนำเสนอผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอาหาร น้ำ และสิ่งแวดล้อม รวมความเชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ปิโตรเลียมสำหรับใช้ในการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยนายเศรษฐา หารือเพื่อขอโอกาสในความร่วมมือนำเทคโนโลยีที่บริษัทคูโบต้ามีความเชี่ยวชาญมาเพิ่มผลผลิต เพิ่มศักยภาพของผลผลิต ลดการใช้แรงงานและค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีรายได้ที่มากขึ้น ทั้งนี้ได้หารือร่วมกัน เพื่อมีไพลอต โปรเจกต์  (pilot project) ช่วยเหลือนำทางแก่เกษตรกรที่สนใจปลูกถั่วเหลืองเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ชีวิตที่ดีขึ้น

เชื่อหนุนรายได้เกษตรกรพุ่ง 3 เท่า

ต่อมาเวลา 14.30 น. ที่บริเวณลานพระราชวังอิมพีเรียล นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับผู้บริหารคูโบต้าว่า ถือเป็นการประชุมที่ดีมาก เราเข้าใจผิดว่าคูโบต้าขายแต่รถไถอย่างเดียว แต่เขามีเทคโนโลยีการอัดแท่งซังข้าวโพดที่ไปทำถ่านเชื้อเพลิงไร้ควัน รวมถึงการเก็บเกี่ยวพืชของอนาคต ปัจจุบันเรื่องรถไถและเก็บเกี่ยวข้าวคูโบต้าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่พืชในอนาคตของไทย เช่น ถั่วเหลือง ไทยนำเข้าปีละล้านตัน แต่เราผลิตเองได้เพียงหลักหมื่น เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเก็บเกี่ยวที่ไม่คุ้มต้นทุน ฉะนั้นคูโบต้าที่มีเทคโนโลยี เครื่องจักรที่ช่วยลดต้นทุนได้ รวมถึงการทำระบบชลประทานในภาคเกษตรครบวงจรที่คูโบต้าดำเนินการอยู่ มีการตกลงว่าไทยจะไปดูสถานที่และให้คูโบต้ามาช่วยพัฒนา ตรงนี้จะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเพิ่มรายได้เกษตรกรเป็น 3 เท่าภายใน4ปี ถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องดี อีกทั้งทางประธานใหญ่คูโบต้าสนับสนุนเต็มที่ และขอให้คูโบต้าทำเรื่องการให้เงินกู้กับสัญญาเช่าซื้อในราคาดอกเบี้ยที่เป็นธรรม มากกว่าการขายอย่างเดียว ทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้อย่างแท้จริง หลังจากนี้ทีมงานจะไปคุยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย

รักษายอดส่งออกรถผลิตในไทย

นายเศรษฐากล่าวถึงผลการหารือกับผู้บริหารเจโทรด้วยว่า เจโทรขอบคุณรัฐบาลที่ดูแลนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น โดยเราหวังว่าจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้ให้ความมั่นใจว่า การลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทย เมื่อถามว่า เจโทรอยากให้รัฐบาลสนับสนุนอะไรเป็นพิเศษ นายกฯตอบว่า ดูแลในเรื่องระบบที่กำลังเปลี่ยนถ่ายเป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผ่านมารัฐบาลไทยสนับสนุนอยู่แล้ว จากการหารือกับกลุ่มยานยนต์ของญี่ปุ่นอยากให้เข้ามาลงทุนเร็วขึ้น ไทยยืนยันเรื่องสนธิสัญญาทางการค้า (FTA) ระหว่างไทย-อียู และสหราชอาณาจักร ที่ขับรถพวงมาลัยขวายืนยันว่าจะเร่งเจรจาให้ได้โดยเร็ว เพื่อรักษาระดับการส่งออกรถยนต์ที่ผลิตในไทย ส่วนการเปลี่ยนขยับไปทำเรื่องโรงงานอีวีก็เร็วขึ้นในบางรายโดยเฉพาะรถกระบะอีวีของอีซูซุและโตโยต้า

พบ “เจ้าชายบรูไน” เป็นการส่วนตัว

นายเศรษฐายังเปิดเผยถึงการพบเจ้าชายอับดุล มาทีน โบลเกียห์ เจ้าชายแห่งราชวงศ์บรูไน เมื่อช่วงค่ำวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า พูดคุยส่วนตัว เพราะได้เจอกันในหลายเวที ชอบพอกันเป็นการส่วนตัว ท่านเป็นนักเรียนเก่าอังกฤษจึงอัปเดตกันว่ามีร้านอาหารที่ไหนเพิ่มขึ้น ท่านชอบดูกีฬาฟุตบอล ดีใจกับท่านมีความสุขเพราะจะอภิเษกสมรส ระหว่างวันที่ 9-15 ม.ค.2567 เมื่อถามว่าได้หารือกันถึงการสนับสนุนระหว่างกันหรือไม่ นายกฯตอบว่า นิดหน่อย ท่านได้แบ่งปันข้อมูลว่าประเทศบรูไนดารุสซาลาม มีประชากร 4 แสนกว่าคน หากเกิดวิกฤติการจับจ่ายใช้สอยในประเทศมีน้อย ท่านอยากจะเพิ่มให้เป็น 1 ล้านคน และให้ประเทศบรูไนดารุสซาลามเป็นแหล่งท่องเที่ยว ได้พูดคุยกันว่า อยากให้โรงแรมหรูในไทยเครืออมัน (AMAN) ไปเปิด เพราะเมื่อเครืออมันไปเปิดที่ไหน เขาจะไม่ดูว่าประเทศนั้นมีอะไร แต่เขาจะไปพักที่โรงแรม เป็นการพูดคุยที่ไม่ได้หนักไปในทางธุรกิจเป็นการพูดคุยกันเฉยๆ

รอหารือปมขัดแย้งทะเลจีนใต้

นายเศรษฐากล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษ (ASEAN-Japan Commemorative Summit) เพื่อฉลองวันวาระครบรอบ 50ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่นในวันที่ 17 ธ.ค.ด้วยว่า ประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนจะเสนออะไรเป็นพิเศษ ปัจจุบันมีอินโดนีเซียเป็นประธาน คนต่อไปเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และญี่ปุ่นเป็นชาติที่ลงทุนสูงมากในอาเซียน ลงทุนในไทยสูงสุด เราต้องพูดคุยถึงความต้องการของญี่ปุ่น อีกเรื่องเป็นปัญหาความมั่นคงในทะเลจีนใต้ที่ยังขัดแย้งกัน เรายืนยันว่าต้องเคารพเอกราชของทุกประเทศ เพราะถ้ามีปัญหาระบบขนส่งทางทะเลจะเป็นปัญหา โดยเฉพาะไต้หวันไทยมีแรงงานอยู่ 60,000 คน ไม่อยากให้ความขัดแย้งมันไปไกล เรื่องของเมียนมาต้องพูดคุยกันเพราะมีชายแดนติดไทยกว่า 2,000 กิโลเมตร เราได้รับการมอบหมายอย่างไม่เป็นทางการให้ไปพูดคุย

มั่นใจ “แอปเปิล” สนใจลงทุนจริง

ต่อมานายเศรษฐาทวีตข้อความผ่าน X ว่า “วันนี้มีข่าวดีครับ ผมได้รับจดหมายขอบคุณจากทาง Tim Cook, Apple’s CEO พูดถึงการพบกันเมื่อตอนเดินทางไปซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนก่อน โดยในจดหมายระบุเลยว่า ประเทศไทยมีศักยภาพ มีความพร้อม เมื่อร่วมกับการสนับสนุนของรัฐบาลในสาขาที่เกี่ยวข้อง เช่น การศึกษา อุตสาหกรรมแรงงาน ทำให้มั่นใจว่าความร่วมมือกับ Apple เกิดขึ้นได้จริง นี่ถือเป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์จากการออกไปสร้างความเชื่อมั่นพูดคุยแสดงความพร้อมของรัฐบาลและประชาชนไทยให้โลกและบริษัทยักษ์ใหญ่ได้เห็น เชื่อมั่นว่านอกจาก Apple จะมีอีกหลายความร่วมมือที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน”

ร่วมดินเนอร์ “นายกฯยุ่น” เลี้ยงรับผู้นำ

กระทั่งเวลา 19.00 น. ที่เรือนรับรองของรัฐบาล พระราชวังอะคาซากะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำ ที่มีนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนางคิชิดะ ยูโกะ ภริยา เป็นเจ้าภาพ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และคู่สมรส ในโอกาสที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ฉลองครบรอบความสัมพันธ์ 50 ปี กลุ่ม อาเซียน-ญี่ปุ่น

“อนุสรณ์” โต้ “พิธา” ย้อนแย้งแต่หัววัน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อพรรค เพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ไม่ประเมินผลงาน 90 วัน รัฐบาล เพราะไม่มีโรดแม็ปที่ชัดเจนว่า ช่วงสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลบอกว่า 10 เดือนรอได้เพื่อให้ สว.หมดอายุ แต่พอรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา เดินหน้าพิสูจน์ฝีมือการทำงานอย่างตั้งใจเพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลเพิ่งเข้ามาทำงาน 3 เดือนเท่านั้น นายพิธากลับรีบร้อน รอไม่ได้ ทำตัวย้อนแย้งวิจารณ์รัฐบาลตั้งแต่หัววัน ขนาด พ.ร.บ.งบฯ ปี 2567 ยังไม่ได้รับ การพิจารณายังผลักดันนโยบายให้สำเร็จได้มากมายขนาดนี้ มีโรดแม็ปการทำงานที่ชัดเจน ทั้งลดค่าใช้จ่าย พักชำระหนี้เกษตรกร ดิจิทัลวอลเล็ต ส่งเรื่องไปยัง สำนักงานกฤษฎีกาแล้ว เอฟทีเอเสริมการค้าเดินหน้า ต่อเนื่อง รวมถึงผลักดันกฎหมายไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.อากาศสะอาด พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม

แขวะแค่ “แดดดี้เกา” ลนลานหิวแสง

นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า นายพิธาเพิ่งกลับมาจากไปบุกค่ายวายจีที่เกาหลี ไปโพสต์ข้อมูลสำคัญของบริษัทเขา ทั้งภาพคู่ตารางงาน รายชื่อเพลง จนถูก ตั้งคำถามว่าเป็นพิธาหิวแสงหรือไม่ การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นสิทธิ รัฐบาลพร้อมรับฟังแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ประชาชนไม่ต้องรอ 10 เดือน รัฐบาลเศรษฐาทำงาน 3 เดือน ก็สำเร็จมากมาย นายพิธา ต้องไม่หิวแสง ไม่รีบร้อนลนลานค้านไปหมดทุกเรื่อง ไปศึกษาผลงานรัฐบาลให้ครบถ้วนแล้วค่อยวิจารณ์ก็ไม่สาย งบยังไม่ผ่านยังทำได้มากขนาดนี้ ควรให้ กำลังใจรัฐบาล

ติงเดินเกมสภาล่มไม่ได้ประโยชน์

นายอนุสรณ์ยังกล่าวถึงเหตุการณ์สภาล่ม เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ระหว่างการลงมติพิจารณาร่างข้อบังคับ การประชุมสภาฯว่า สมาชิกพรรค ก.ก.เคยกล่าวไว้เอง ว่าสภาล่ม 1 ครั้ง มูลค่าความเสียหายประมาณ 8,291,945 บาท ทำประเทศชาติเสียหาย ประชาชนเสียโอกาส สภาล่มเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. มี สส.พรรค ก.ก.แสดงตน 92 คน ไม่แสดงตน 56 คน แต่พอถึง ขั้นตอนการลงมติห่างกันแค่ 2 นาที เหลือ สส.พรรคก.ก.ลงมติแค่ 2 คน ถ้าเป็น สส.พรรคอื่นอยู่ในห้อง ประชุมแล้วไม่แสดงตน หรืออยู่แสดงตนในห้องประชุมสภาแต่ไม่ลงมติ คงโดนสารพัดแฮชแท็กปั่นขึ้นมาจากกองเชียร์บางฝ่ายว่า #กูสั่งให้มึงแสดงตน #กูสั่งให้มึงลงมติ #ไม่อยากลงมติลาออกไป แต่พอ เป็นพรรค ก.ก. ทำเสียเองคนกลุ่มนี้กลับย่องย่อง ขอนับ องค์ประชุมพร่ำเพรื่อ ไม่แสดงตน ไม่ลงมติ เจตนา ชัดทำให้สภาล่มหรือไม่ แต่เชื่อว่าจากนี้ สส.รัฐบาลจะการ์ดสูง ตั้งตนอยู่ในความพร้อมขั้นสูงสุดตลอดเวลา การทำสภาล่มอาจเป็นเรื่องสะใจของบางคน บางพรรค แต่ถ้าเราดึงสติแล้วถอยกลับออกมายึดประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นสำคัญ ไม่มีใครได้ประโยชน์ มีแต่เสียโอกาส

วอนอย่าสร้างซีนด้อยค่าไร้ผลงาน

น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงผลงานการทำงาน ของรัฐบาลในรอบ 100 วันว่า ทำให้เห็นการบริหารประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ พยายามหารายได้เข้า ประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น นโยบายฟรีวีซ่า การดึงดูด การลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ด้านไอที ทั้ง Google และ Microsoft ที่จะเข้ามา ลงทุน Data Center ในไทยรวมกว่า 200,000 ล้านบาท รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง Tesla ยังคิดมาลงทุนในไทย เพื่อตั้งโรงงาน EV และซัพพลายเชน ล้วนเกิดจากความพยายามทำงานหนักของรัฐบาล รวมถึงดูแลปากท้องประชาชนอีกหลากหลายมิติ ลดค่าครองชีพตั้งแต่ลดราคาน้ำ-ไฟ ราคาน้ำมันดีเซล-เบนซิน ตั๋ว 20 บาทตลอดสาย รถไฟฟ้าสายสีม่วง- แดง มียอดคนใช้บริการทะลุ 100,000 คน/วัน แต่ด้วย ความแตกแยก ความเห็นต่างกันในเรื่องของอุดมการณ์เลยทำให้เรื่องดีๆที่รัฐบาลทำไม่ได้รับการชื่นชม วอน ให้สังคมเข้าใจปัญหาบางเรื่องสะสมมานานต้องใช้เวลา แต่ระยะเวลาแค่ 4 เดือน ผลงานยังมีให้เห็นถ้าครบ 4 ปี ประเทศจะเจริญขนาดไหน อยากให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันคิดเสนอทางออกร่วมกันมากกว่าด้อยค่า และควรต้องเคารพในเสียงส่วนใหญ่ เพราะการเมืองใหม่ที่แท้จริงต้องสร้างสรรค์ผลงานมากกว่า เน้นสร้างซีน

เย้ยเก่งแต่ด่าระวังนั่งฝ่ายค้านยาว

นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกฯ กล่าวว่า กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาพรรค ก.ก. ออกมาวิจารณ์ผลงานรัฐบาล อยากย้อนไปตอนพรรคก้าวไกลอยากเป็นรัฐบาล ก็มากราบอ้อนวอนพรรคเพื่อไทยร่วมรัฐบาล แตกต่างกับตอนนี้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนั้นอ่อนน้อมถ่อมตน ชมพรรคเพื่อไทยมีผลงานแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้ผล แต่พอพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล ต้องเป็นฝ่ายค้านก็มาตำหนิติเตียนรัฐบาลเศรษฐาไม่ดี ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา สำหรับรัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลผสม ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว การจะทำอะไรตามนโยบายพรรคเพื่อไทยทั้งหมดจึงไม่ได้ ต้องฟังพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ปัญหาที่สะสมจากรัฐบาลที่แล้วมีอยู่มาก รัฐบาลชุดนี้ต้องทำความเข้าใจปัญหาทุกอย่าง เพิ่งผ่านมาแค่ 3 เดือน แต่รัฐบาลก็แก้ปัญหาไปมาก โดยเฉพาะปากท้องประชาชน ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้และขยายโอกาส แต่ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งให้ทุกอย่างลงตัวกว่านี้ นายพิธาควรใจเย็น อย่าวิพากษ์วิจารณ์เพียงหวังประโยชน์การเมืองมากเกินไป ไม่เช่นนั้นก้าวไกล อาจต้องเป็นฝ่ายค้านไป 8 ปี

รทสช.จ่อชงวิปแก้เกมองค์ประชุม

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงการกำชับ สส.พรรคเข้าร่วมประชุมสภาว่า หัวหน้าพรรค รทสช. และเลขาธิการพรรค รทสช.กำชับอยู่แล้ว แต่เนื่องจากในวันประชุมสภามีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญที่ตั้งขึ้นมาหลายคณะซ้อนกัน สส.ต้องไปทำหน้าที่ กมธ.ด้วยเลยไม่ได้อยู่เป็นองค์ประชุม วันที่ 18 ธ.ค. จะเสนอในที่ประชุมวิปรัฐบาลให้หารือกับประธาน กมธ.วิสามัญ เพื่อขอเลื่อนการประชุม กมธ.วิสามัญเป็นวันอื่นที่ไม่ใช่วันพุธ-พฤหัสบดี เพื่อแก้ปัญหาองค์ประชุม ถ้าไม่ดีขึ้นอาจต้องขอไปถึง กมธ.สามัญคณะต่างๆด้วย ทั้งนี้การเดินทางมาประชุมสภาเป็นหน้าที่ของ สส.ปกติอยู่แล้ว ดังนั้นต้องบอกทางฝ่ายค้านว่า พยายามอย่าเล่นเกมการเมืองมาก เพราะการประชุม กมธ.เป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ถ้าเช็กองค์ประชุมอยู่เรื่อยๆทำให้ประชุมไม่ต่อเนื่อง ข้าราชการที่มาชี้แจงจะเสียเวลารอคอย การประชุม กมธ.สะดุด

สอนมวยดีอีเอสอย่าไฟไหม้ฟาง

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค รทสช. ให้สัมภาษณ์ว่า จากที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดปฏิบัติการล้างบางแก๊งแอปดูดเงินแนวชายแดน ส่งตำรวจไซเบอร์เร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม 4 ปฏิบัติการ ทั้งแอปดูดเงินชายแดน-หลอกส่งพัสดุเก็บปลายทาง-เพจเว็บไซต์ขายอาวุธปืนออนไลน์-เว็บพนัน โดยจับกุมผู้ต้องหาเกือบ 400 คน ถือเป็นปฏิบัติการที่เห็นผลชัด แต่ขอให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อย่าเป็นแค่ช่วงเฉพาะหน้า 90 วัน ที่ดีอีเอสจะโชว์ผลงานของรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากประชาชนจำนวนมากได้รับความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพต้มตุ๋นมานานหลายปี มากกว่านั้นต้องมีระบบป้องกัน โดยรัฐบาลและคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องลงทุนใช้ระบบป้องกันทางอินเตอร์ เน็ตไว้ด้วย ที่สำคัญต้องขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกใช้เป็นฐานการกระทำความผิดของแก๊งมิจฉาชีพ ให้สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นเครือข่ายรายใหญ่

“โรม” ซัดเนื้อใน “เศรษฐา” พอกับ “ลุงตู่”

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์เปรียบเทียบเรื่องการให้ความสำคัญกับงานสภาฯระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ว่า ทั้ง 2 คนนี้มีทั้งจุดที่เหมือนและจุดที่ต่าง โดยจุดร่วมที่เหมือนกันสะท้อนเรื่องวุฒิภาวะคือการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีนัก ส่วนจุดต่างทาง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยจะเดินทางไปยังต่างประเทศ ส่วนนายเศรษฐาไปเยือนต่างประเทศมากกว่า ไปพบนักลงทุนนั้นเป็นเรื่องดีแต่ต้องหาจุดสมดุลด้วย พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯและฝ่ายค้านเลย พฤติกรรมดังกล่าวส่งต่อมาถึงนายเศรษฐาด้วย ต่างกันนิดหน่อยตรงที่นายเศรษฐาพยายามสร้างภาพ บอกสังคมให้เห็นว่า เขาให้ความสำคัญ แต่ความจริงนายเศรษฐามาตอบกระทู้สภาฯครั้งเดียวในสมัยประชุมที่เเล้วเป็นเเค่การตอบกระทู้ของฝ่ายรัฐบาลกันเองเตี๊ยมกันได้ แต่กระทู้ของว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านไม่ยอมมาตอบ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เเคร์เลย แต่นายเศรษฐาแสดงออกว่า ให้ความสำคัญคงจะเจียมตัวกว่า เพราะมาอยู่จุดนี้เพราะเขาให้มาเป็น สรุปคือ พยายามสร้างภาพว่ามาสภาฯของนายเศรษฐากับ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เหมือนกัน แต่เนื้อในนั้นเหมือนกัน

ปชป.ยืนกรานค้านนิรโทษคดี 112-โกง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับพรรค ก.ก.ว่า หลักการของพรรค ปชป.ย้ำจุดยืนหลายครั้งแล้ว ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายมีผลกระทบต่อคดีมาตรา 112 รวมถึงคดีทุจริต ที่คดีเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เพราะต้นเหตุที่แท้จริงเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของคนไม่ใช่เป็นคดีทางการเมืองที่เกิดจากการชุมนุม และข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเป็นเจตนารมณ์ชัดของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้ แต่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ก.ก. ผู้เป็นเจ้าของร่างกฎหมายยืนยันว่า การนิรโทษกรรมจะครอบคลุมถึงผู้ที่กระทำความผิดตามมาตรา 112 ด้วย ดังนั้นหากร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาพรรคก็ไม่เห็นด้วย และกระบวนการรับฟังความคิดเห็นสะท้อนจากประชาชนก็ไม่เห็นด้วยถึง 71% สส.จำเป็นต้องนำมาประกอบในการพิจารณานิรโทษกรรมต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพราะสุดท้ายประเด็นเหล่านี้จะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“อภิสิทธิ์” สวมบทกูรูชี้ทางออกนิรโทษ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกฯ ชี้ให้เห็นถึงผลประชามติแก้รัฐธรรมนูญออกมาก่อนถึงเดินหน้าผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยตั้ง กมธ.วิสามัญขึ้นมาศึกษาให้ตกผลึกก่อนเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่า กฎหมายนิรโทษกรรมมีความละเอียดอ่อน เป็นที่มาของการรัฐประหาร ดังนั้นควรเริ่มต้นคนที่มีความผิดทางการเมืองก่อนก็จบไป อย่างน้อยลบประวัติตรงนั้นออกไป แต่ที่ยากคือต่อมาจะขีดเส้นแบ่งที่เหมาะสมความผิดทางการเมือง ที่ต้องมาถกกันอีกว่า แรงแค่ไหนถึงได้รับนิรโทษกรรม ความละเอียดอ่อนเพิ่มอีกว่าคนไหนได้คนไหนไม่ได้ ตรงนี้เป็นปัญหาความจริง ดังนั้นกฎหมายนิรโทษกรรมพูดถึงฐานความผิดก่อนว่า อะไรจะนิรโทษกรรม ส่วนคดี 112 ที่ละเอียดอ่อนถกกันมาก ที่ผ่านมาคดีนี้ไม่ได้เหมือนกันหมด บางคดีคนสงสัยน่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการหรือมีจุดยืนทางการเมือง กรณีแบบนี้รู้สึกว่าตีความกว้างเกินไปหรือไม่ที่บอกว่าเป็นความผิด แต่ปฏิเสธไม่ได้มีอีกหลายคดีที่ผู้กระทำความผิดแสดงความอาฆาตมาดร้าย ที่เป็นคนละเรื่องกับการแสดงออกโดยสุจริตในทางวิชาการ

เตือนโยงแก้ รธน.ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่

เมื่อถามว่ามีความพยายามโยงการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญกับออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นเรื่องเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ถ้าไปผูกโยงกับทางการเมืองจะยิ่งยุ่งไปใหญ่ การแก้รัฐธรรมนูญให้ได้กติกาถาวรที่เป็นสากลในเชิงประชาธิปไตย เหมาะสมกับสังคมไทย ต้องเดินหน้าไป ไม่ว่านิรโทษกรรมจะทำหรือไม่ ที่มีผลนิรโทษกรรม เฉพาะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการตัดสิทธิ์อะไรต่างอยู่ในรัฐธรรมนูญ ส่วนกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นอีกประเด็น ควรทำความเข้าใจก่อนว่าอยากทำเพื่อสร้างความปรองดองที่แท้จริงอย่างไร ที่กังวลคือสังคมปัจจุบันชอบสุดโต่งและง่ายเกินไป สุดโต่งคือเอาทั้งหมด ไม่เอาทั้งหมดง่ายเกินไป คือไม่แยกแยะ สิ่งเหล่านี้หากไม่พยายามพูดด้วยเหตุด้วยผล รับฟังทุกฝ่าย ก็ยากที่จะได้รับคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ เมื่อถามว่าเศรษฐกิจปี 67 ไม่ดีอาจมีผลกระทบต่อการทำประชามติแก้รัฐธรรมูญ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไม่ควรต้องโยงกันรัฐบาลจะมี ไม่มีประชามติ จะมี ไม่มีแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีหน้าที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่แล้ว

จี้ยกเหตุขอกู้เงินให้ชัดวิกฤติแค่ไหน

เมื่อถามว่า สรุปปี 67 เศรษฐกิจวิกฤติหรือไม่ ในเมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว. คลังระบุว่าเศรษฐกิจจะหนักในปี 67 นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ปัญหาวิกฤติหรือไม่ขณะนี้กลายเป็นเรื่องเทคนิคกฎหมาย ถ้าไม่วิกฤติคงออกกฎหมายมากู้เงินไม่ได้ รัฐบาลต้องพูดให้ชัดว่าวิกฤติหรือไม่วิกฤติ เอาอะไรมาเป็นตัววัด ถ้าวิกฤติช่องทางกฎหมายต้องเป็น พ.ร.ก.ไม่ใช่ พ.ร.บ.ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ควรทำหรือไม่ มีความเห็นแตกต่างกันไป สุดท้ายรัฐบาลก็ยอมรับไม่จำเป็นต้องแจกคนจำนวนหนึ่ง บังเอิญมันมีมิติทางการเมืองด้วย ถูกวิจารณ์ไม่รักษาแนวทางที่พูดกับประชาชน ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ ตนไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ตั้งแต่ต้น แจกเกือบทุกคนแบบนี้ยังหาเหตุผลมารองรับยาก โดยเฉพาะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับฐานะการคลัง ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในแง่ ความน่าเชื่อถือ ไม่ได้บอกว่าถ้าแจกแล้วหนี้มันจะท่วมประเทศ แต่ถ้านำเงินจำนวนนี้ไปทำอะไรที่ดีกว่าคือวิธีใช้เงินที่ดีที่สุดหรือไม่ ต้องตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่น่าจะใช่ มันเป็นหนี้สำหรับทุกคนที่จะต้องแบกต่อไป

สอนเชิงบริหารต้องชัดทุกเรื่อง

เมื่อถามอีกว่า ปี 67 พอเห็นโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ในใจอยากให้อะไรที่มันเป็นปมความไม่แน่นอนอยู่หลายเรื่อง อาทิ เงินหมื่น ค่าแรง พลังงาน ขนส่งมวลชน 20 บาทตลอดสาย ตนคงไม่ได้เห็นด้วยหรือคัดค้านทุกเรื่อง แต่อยากให้มีความชัดเจน เพราะขณะนี้ปัญหาหนึ่งของเศรษฐกิจที่ถูกซ้ำเติม คือ พอมีความไม่แน่นอน ตกลงเงินหมื่นจะเดินหรือไม่ ค่าแรงเป็นไปตามที่หาเสียงหรือไม่ พลังงานที่พยายามแก้และขนส่งมวลชน แต่เป็นการแค่เอาเงินไปโปะ ที่ระบุว่ารอแก้เชิงโครงสร้างจะแก้แบบไหน อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลทำให้คนมองเห็นว่าวิธีการที่มีความแน่นอนระดับหนึ่ง จะช่วยลดความหวั่นไหว ความไม่น่าเชื่อถือ ที่มันกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ความเชื่อมั่นการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของต่างประเทศไปด้วย ดังนั้น อยากให้มีความชัดเจน

ย้ำอย่าใช้ ปชป.เป็นอะไหล่หากิน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “เทพไท คุยการเมือง” เรื่อง “ใครรักพรรค มากกว่ากัน ???” ว่า ได้รับฟังเหตุผลในการลาออกของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลายคน ไม่มีใครที่ลาออกแล้ว มากล่าวใส่ร้ายทำลายพรรคเลย มีแต่การวิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ทุกคนมีความปรารถนาดี และห่วงใยต่ออนาคตของพรรค ทุกคนตั้งปณิธานไว้ว่าจะขอดูความเป็นไปของพรรคว่ายังคงยึดมั่น ในอุดมการณ์ของพรรค 10 ข้อ ที่เคยประกาศไว้ในวันก่อตั้งพรรค ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2489 หรือไม่ และจะเฝ้าดูการบริหารพรรคและการนำพาพรรค ของคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดใหม่ ว่าเป็นไปในทิศทางใด จะนำพรรคไปเป็นพรรคอะไหล่ หรือนำพรรคไปหากิน ตามคำเตือนของนายชวน หลีกภัย ผู้อาวุโสของพรรคหรือไม่ เชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะหวนกลับคืนพรรคอีกครั้ง เพราะไม่มีใครประกาศตัวเลยว่าจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด หลังออกจากพรรคไปแล้ว จึงไม่อยากให้กล่าวหาว่าสมาชิกพรรคที่ลาออกไป เป็นผู้ทำลายพรรคบ้าง ไม่รักพรรคบ้าง รักตัวเองมากกว่ารักพรรคบ้าง กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครรักพรรคยึดมั่นในอุดมการณ์พรรคมากกว่ากัน

“วิโรจน์” ฉุนครูฝึกซ้อมพลทหาร

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ในฐานะประธาน กมธ.การทหาร สภาฯ ได้รีทวีตข้อความของ “Red skull” ที่ทวีตข้อความ พร้อมภาพผ่าน X เรื่องทหารเกณฑ์ถูกครูฝึกทำร้ายร่างกาย ที่กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 112 (ร.112 พัน.1) อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ว่า เฉพาะหน้า กมธ.ทหาร จะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่ทหารเกณฑ์ถูกทำร้าย ทั้งกรณีการเสียชีวิตที่ จ.เชียงราย และกรณีนี้ที่ จ.ชลบุรี และในต้นปีหน้านี้ กมธ.ทหาร จะเปิดโครงการทหารเกณฑ์ปลอดภัย รับเรื่องร้องเรียน โดยทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหมเพื่อจัดการกับกรณีเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ทันท่วงที

ผุดแคมเปญทหารเกณฑ์ปลอดภัย

นายวิโรจน์ระบุว่า โครงการทหารเกณฑ์ปลอดภัย ที่ กมธ.ทหารวางแผนจะดำเนินการในต้นปีหน้า จะเป็นช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนจากทหารเกณฑ์ที่ถูกกระทำ ดังนี้ 1.ถูกทำร้ายในค่ายทหาร 2.ถูกลงโทษอย่างผิดระเบียบ 3. ถูกดำเนินการใดๆ อย่างไม่เป็นธรรม โดย กมธ.ทหาร จะเร่งประสาน ให้หน่วยงานภายในของกระทรวงกลาโหม ที่ได้ทำความร่วมมือกันไว้ ช่วยระงับยับยั้ง และช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ มีเป้าหมาย คือ “การตายในค่ายทหารต้องเป็นศูนย์” และในกรณีที่พบการกระทำที่ผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ทาง กมธ.ทหาร จะประสานเพื่อร้องทุกข์กับ DSI ทันที

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่