ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งของคนไม่ว่าสังคมไหนก็ตามเพื่อความมีชีวิตและการดำรงอยู่นั่นคือหนี้สิน เพราะเมื่อรายได้ไม่พอกับรายจ่ายก็ต้องหาทางดิ้นรน
ใครเครดิตดีหน่อยก็ไปกู้จากแบงก์หรือสถาบันการเงินถือว่ามีโอกาสที่ดีกว่าคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่สามารถไปกู้จากสถาบันในระบบได้
นี่คือปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมไทย
และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นหนี้ครัวเรือนสูงถึง 16 ล้านล้านบาท จนทำให้เกิดปัญหาและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
รัฐบาลได้เปิดนโยบายใหม่ซึ่งเป็นเรื่องเก่าที่พูดกันมานานแล้วแต่ไม่มีการแก้ไขกันอย่างจริงจังเพราะเป็นเรื่องยากและต้องแก้กันทั้งระบบ
“หนี้นอกระบบ” คือตัวปัญหาสำคัญของสังคมไทยที่นายกรัฐมนตรี เรียกว่า “ค้ามนุษย์”
เมื่อไม่สามารถกู้จากสถาบันที่ถูกกฎหมายได้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องไปกู้จากนายทุนซึ่งทั้งระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่น
แน่นอนว่า “นายทุน” เงินกู้ลักษณะนี้ไม่ต้องขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย แค่อาศัยว่ามีเงินทุนและมีอิทธิพลที่จะดำเนินการได้
ผลตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับ!
คือ “ดอกเบี้ย” ที่มีราคาสูงกว่ากฎหมายกำหนดแต่เขาจะกำหนดเอง อันเป็นที่มาของคำว่า “ดอกโหด” เพราะวงเงินที่สูงกว่าปกติทั่วไป
เงื่อนไขต่างๆนายทุนจะเป็นฝ่ายกำหนดเองทั้งหมด
สภาพที่ดำรงอยู่ก็คือ “ดอกท่วมต้น” เพราะยิ่งกู้ ดอกเบี้ยก็ยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่าใช้หนี้กันไม่มีวันหมด
ไม่ยอมก็ไม่ได้เงิน...ชีวิตจึงลำบากยากแค้นซ้ำเข้าไปอีก
นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ได้ประกาศชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหา “หนี้นอกระบบ” ด้วยการยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ
คือให้ความสำคัญระดับต้นๆ
...
อย่างที่เคยบอกว่านายกรัฐมนตรีคนนี้มีความคิดในเชิงบูรณาการ คือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบก็คงได้พิสูจน์ว่าจะสามารถผลักดันได้แค่ไหน?
เริ่มต้นด้วยการให้กระทรวงการคลัง มหาดไทยและตำรวจร่วมกันแก้ไขปัญหาโดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นคนดูแลสั่งการเองทั้งหมด
กระทรวงการคลังก็จะทำหน้าที่หาแหล่งเงินมาเพื่อซัพพอร์ตซึ่งก็คงจะใช้ธนาคารรัฐเคลียร์หนี้ให้เบื้องต้น รวมถึงการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่าง “เจ้าหนี้” กับ “ลูกหนี้”
กระทรวงมหาดไทยก็จะทำการขึ้นทะเบียนลูกหนี้ทั่วประเทศโดยให้ไปแจ้งชื่อไว้ที่อำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมว่าเป็นหนี้เท่าใดและใครเป็น “เจ้าหนี้”
“ตำรวจ” ก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าใครเป็นเจ้าหนี้ เรียกดอกเท่าไร มีจำนวนเท่าใด ดำเนินการในลักษณะไหนผิดกฎหมายหรือไม่?
และให้ความคุ้มครองลูกหนี้ด้วยเพราะมันจะเกี่ยวข้องกับปัญหาอิทธิพลด้วย โดยเฉพาะในท้องที่ว่าใครเป็นใคร
รัฐบาลคงหวังว่าหากสามารถดำเนินการได้สำเร็จก็จะช่วยเหลือคนไทยได้จำนวนไม่น้อยที่ต้องเป็นทุกข์อย่างที่ไม่เคยมีใครช่วยพวกเขาได้
อีกทั้งยังจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาได้
ว่าไปแล้วเป็นรูปกว่า “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่ยังไม่รู้อนาคตและต้องเป็นหนี้ถึง 5 แสนล้านบาท!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม