"ก้าวไกล" ร่วมวงสัมมนาท้องถิ่น ย้ำความพร้อม รับไม้ต่อจาก "คณะก้าวหน้า" ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งทุกระดับ "พิธา" ย้ำ กระจายอำนาจสู่การเปลี่ยนประเทศ เชื่อ เป็นแนวทาง สร้างการเติบโต-ลดทุจริต-ลดเหลื่อมล้ำ
วันที่ 19 พ.ย. คณะก้าวหน้าได้จัดงานสัมมนาท้องถิ่นก้าวหน้า ประจำปี 2566 โดยมีนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับตำบล ที่ทำงานร่วมกับคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย สก.พรรคก้าวไกล เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนและประสบการณ์จากการทำงานในรอบ 2 ปี กว่าที่ผ่านมาร่วมกัน รวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนการเมืองท้องถิ่นในอนาคตร่วมกัน
...
ในการนี้ ศรายุทธิ์ ใจหลัก ผู้อำนวยการพรรคก้าวไกล ได้กล่าวสรุปถึงทิศทางในอนาคตของพรรคก้าวไกลในด้านการเมืองท้องถิ่น โดยระบุว่า เป้าหมายของพรรคก้าวไกล คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ การสร้างพรรคก้าวไกลให้เป็นพรรคที่เข้มแข็งและยึดโยงกับสมาชิกพรรค และในอนาคตข้างหน้า คือการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในทุกระดับ
ในการนี้ พรรคก้าวไกล กำลังเดินหน้าจัดตั้งโครงสร้างตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และตัวแทนพรรคประจำอำเภอ ที่จะรวมกันเป็นคณะกรรมการพรรคระดับจังหวัด ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคผ่านตัวแทนในการตัดสินใจเรื่องสำคัญตั้งแต่ระดับพื้นที่ ไปจนถึงระดับชาติในที่ประชุมใหญ่ของพรรค และที่สำคัญ คือ การเป็นกลไกหลักในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ในการคัดสรรผู้สมัครรับเลือกตั้งร่วมกับกรรมการบริหารพรรคในกรณีตำแหน่งสำคัญอย่างนายก อบจ. และนายกเทศบาลนคร และเป็นผู้ตัดสินใจในส่วนของการคัดเลือกผู้สมัครนายก อบต. และเทศบาลตำบล
นายศรายุทธิ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่จะมาถึงในช่วงต้นปี 2567 นี้ จะเริ่มมีกระบวนการคัดสรรผู้สมัครให้เห็นออกมาบ้าง ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยในการคัดสรรรอบนี้ พรรคต้องการมั่นใจจริงๆ ว่า ผู้สมัครนายก อบจ. จะเป็นตัวแทนของพรรคได้ตามที่ประชาชนคาดหวัง เป็นคนที่มีดีเอ็นเอแบบพรรคก้าวไกลจริงๆ
ในส่วนของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้รับเชิญเป็นผู้บรรยายในประเด็นความสำคัญของท้องถิ่นในการเมืองระดับชาติ โดยระบุว่า ท้องถิ่นเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติเป็นอย่างยิ่ง ท้องถิ่นที่อยู่ใกล้ปัญหาที่สุดย่อมแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่ได้ดีกว่า สส. ที่ทั้งไม่มีงบประมาณและอยู่ไกลจากปัญหา
แต่สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ คือ การที่ สส. ต้องนำปัญหาในพื้นที่มาปรึกษาหารือเกือบสองชั่วโมงในทุกวันของการประชุมสภา เพราะคนใกล้ปัญหาไม่มีอำนาจ ไม่มีงบประมาณ ดังนั้น การกระจายอำนาจคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชน ท้องถิ่นได้มีอำนาจและงบประมาณในการแก้ปัญหาของประชาชน ส่วน สส. ได้มีเวลามากขึ้นในการทำหน้าที่จริงๆ ในการออกกฎหมายและทำหน้าที่ตรวจสอบ
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า ด้วยโครงสร้างที่รวมศูนย์ทุกอย่างอยู่ที่ส่วนกลาง ทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองโตเดี่ยว ประเทศไทยคือกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ คือประเทศไทย อำนาจการตัดสินใจงบประมาณ อยู่กับส่วนกลางถึง 84% ท้องถิ่นตัดสินใจเองได้แค่ 16% นี่จึงทำให้ประเทศไทยต้องมีการกระจายอำนาจ จากข้อมูลเปรียบเทียบระดับโลก ประเทศที่ยิ่งกระจายอำนาจยิ่งมีผลบวกต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ระดับการกระจายอำนาจกับดัชนีการทุจริต ก็สอดคล้องในทางเดียวกัน ว่า ยิ่งประเทศเป็นประชาธิปไตย กระจายอำนาจ เพิ่มเสรีภาพ มีกลไกตรวจสอบที่ยึดโยงกับประชาชน และมีการเลือกตั้งในท้องถิ่นมากเท่าไร การทุจริตก็จะยิ่งน้อยลง และเช่นเดียวกับเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ข้อมูลระดับโลกก็ชี้ให้เห็นว่ายิ่งกระจายอำนาจมากเท่าไร ความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย
“ผมเชื่อเต็มหัวใจว่าการปลดล็อกท้องถิ่นและการกระจายอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้ ชัยชนะของทุกท่าน และความสำเร็จของทุกท่าน ก็คือชัยชนะของผมเช่นกัน” พิธา กล่าว...