บนวิถีการเมืองแบบไทยๆหลายครั้งที่ “ความจริง” กับ “เหตุผล” มักจะขัดแย้งกันเอง
“เหตุผล” ที่พรรคก้าวไกล ต้องการยุบ กอ.รมน.เพื่อปิดประตูไม่ให้ ทหารเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง
ทำให้ กอ.รมน.กลายเป็นหน่วยงานครอบจักรวาลที่ซ้ำซ้อน-ซ้อนทับกับหน่วยราชการหลัก
ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
เช่น ภารกิจปราบยาเสพติด ภารกิจ แก้ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง ภารกิจแก้ปัญหาชายแดนใต้ ภารกิจแก้ปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ภารกิจฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติ และภารกิจแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน ฯลฯ
ในแง่เหตุผล “กอ.รมน.” เปรียบเสมือนส่วนเกินในระบบราชการไทย
“แม่ลูกจันทร์” มองว่า การยุบ กอ.รมน.ของพรรคก้าวไกลจึงถูกต้องตามหลักการ!!
แต่...ในแง่ “ความจริง” พรรคก้าวไกลย่อมรู้อยู่แล้วว่า ร่าง พ.ร.บ.ยุบ กอ.รมน.ไม่มีทางผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ
และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่ยุบ กอ.รมน.แน่นอน
หัวเด็ดตีนขาด นายกฯเศรษฐา ทวีสิน จะไม่ยุบ กอ.รมน.!!
นายกฯเศรษฐา ประกาศว่า การยุบ กอ.รมน.ไม่อยู่ในความคิดของรัฐบาลและไม่เคยอยู่ในนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา
นอกจากไม่ยุบ ยังขยายบทบาท กอ.รมน.ให้อ้าซ่ายิ่งกว่าเดิม!!
นายกฯเศรษฐา ย้ำว่า รัฐบาลต้องการเพิ่มบทบาท กอ.รมน.ในการช่วยเหลือแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชน ช่วยแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ช่วยแก้ปัญหาแหล่งน้ำ ช่วยแก้ปัญหามลภาวะ และอื่นๆอีกมากมาย
หากเกิดวิบัติภัยร้ายแรง รัฐบาล ต้องการให้ กอ.รมน.ระดมสรรพกำลังและเครื่องมือต่างๆของกองทัพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ผู้ประสบภัย
นี่คือบทบาทใหม่ที่นายกฯ เศรษฐาต้องการใช้ กอ.รมน. เป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในทาง การเมือง
...
เพราะ นายกฯลุงตู่ ได้วางบทบาท กอ.รมน.เป็นเครื่องมือของรัฐบาลมาแล้ว 9 ปี
นายกฯเศรษฐา ย่อมต้องการใช้ กอ.รมน.เป็นเครื่องมือของรัฐบาลใหม่ต่อไปอีก 4 ปี!!
สำคัญที่สุดเหนืออื่นใด รัฐบาล พรรคเพื่อไทยโดนทหารปฏิวัติมาแล้ว 2 ครั้ง จึงเป็นบทเรียนราคาแพงที่นายกฯเศรษฐาต้องป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
อะไรที่อาจก่อชนวนขัดแย้งกับกองทัพ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะไม่ปล่อยให้ไฟมาลนก้นตัวเอง
ฝ่ายกองทัพเองก็ต้อง “อยู่ให้เป็น” กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
เพราะพรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่สามารถยันกับพรรคก้าวไกลในยุทธจักรการเมือง!!
“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่า การยุบ กอ.รมน.จะเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเดียว...
คือเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกลต้องกวาด สส.เกินครึ่งสภาฯ
มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ง่าย นะโยม.
"แม่ลูกจันทร์"
คลิกอ่านคอลัมน์ "สำนักข่าวหัวเขียว" เพิ่มเติม