ช็อกคนไทย ตะลึงกันทั้งโลก

กับเหตุสะเทือนขวัญ เด็กชายวัย 14 ปีก่อเหตุกราดยิงผู้คน กลางห้างสรรพสินค้า ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร

ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บอีก 5 ราย

กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับที่สำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำ ทั้งบีบีซี รอยเตอร์ ฯลฯ พากันรายงานเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของประเทศไทย

ประทับภาพ “ดินแดนอันตราย” จัดอยู่ในโซนไม่ปลอดภัย

แม้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยของภาคเอกชน สามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับมาปกติได้อย่างรวดเร็ว ตามมาตรฐานการเผชิญเหตุร้ายแรง

บล็อกความสูญเสียอยู่ในวงจำกัด

แต่สิ่งที่เห็นกันบ่อยๆในประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นอุบัติภัยใหม่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และผู้ก่อเหตุเป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ทำให้ผวา“พฤติกรรมลอกเลียนแบบ”

อย่างที่เห็นสไตล์ไทยแลนด์วิ่งล้อมคอกกันวุ่นวาย

...

ตำรวจไล่จับต้นตอผู้ผลิตและขายทูตมรณะให้เยาวชนผู้ก่อเหตุ ตามบล็อกอาวุธปืนดัดแปลงแบลงก์กัน บีบีกัน ที่จำหน่ายกันเกร่อในออนไลน์

กระทรวงมหาดไทยออกมาตรการควบคุมอาวุธปืน เครื่องกระสุน คุมกำเนิดร้านปืนเกิดใหม่ ห้ามประชาชนพกปืน ขึ้นทะเบียนบีบีกัน ไล่เบี้ยไปถึงสนามยิงปืนที่ปล่อยให้บุคคลภายนอก รวมไปถึงเด็กไม่บรรลุนิติภาวะเข้าไปใช้บริการซ้อมยิงปืนกันได้แบบสบายๆ

อันตรายที่ปล่อยปละละเลยกันมาได้อย่างไร

ลามไปถึงการเข้มงวดกับเกมคอมพิวเตอร์ที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุพฤติกรรมรุนแรง

ไม่เว้นแม้แต่การไล่เช็กประวัติการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่มุ่งความเป็นเลิศของลูกมากเกินไป กลายเป็นความกดดันให้ผู้ก่อเหตุมีพฤติการณ์เพี้ยนไปจากคนปกติ

ไล่อุด ไล่บล็อก ถอดบทเรียนกันหูตาเหลือก

แต่ที่วัวหาย ไล่ตามล้อมคอกกันไม่ทัน เหตุกราดยิงในห้างกลางกรุงเทพฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงกับภาคการท่องเที่ยวเมืองไทย

ก่อผลเสียหายใหญ่หลวงประเมินไม่ได้

ปราสาททรายที่กำลังบรรจงสร้าง พังครืนไปในพริบตา

เรื่องของเรื่อง เหตุไม่คาดคิด เกิดในจังหวะพอดีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่ในวงประชุมเรื่อง “วีซ่าฟรี” กระชับหน่วยงานเกี่ยวข้องรองรับมาตรการความหวังกอบโกยรายได้นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ตีปี๊บ อัดโปรโมชันล่อใจกันสุดกำลัง

ตั้งเป้ากันไว้สวยหรูในช่วงไฮซีซัน

แต่ปรากฏว่า หนึ่งในเหยื่อที่เสียชีวิตคือนักท่องเที่ยวจากแดนมังกรและมีชาวจีนบาดเจ็บอีก 1 คน

ข่าวแพร่กระจาย กระฉ่อนโลกออนไลน์ของชาวจีน พรึบเดียว 200-300 ล้านวิว ตอกย้ำข่าวลือ อันตรายที่ประเทศไทย นักท่องเที่ยวต้องเผชิญ การลักพาตัวของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ เสี่ยงเป็นเหยื่อเรียกค่าไถ่ ฯลฯ

อาวุธปืนหาง่าย ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐร่วมอยู่ในเครือข่ายใต้ดิน

กระแสคนจีนขวัญผวา ไม่กล้ามาเมืองไทย

มาตรการ “ฟรีวีซ่า” เจอกระทบเต็มๆ

“ช็อตฟีล” ภาคการท่องเที่ยว ความหวังหนึ่งเดียวของรัฐบาลที่หวังพึ่งรายได้จากทัวร์จีนมาหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์สำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจ

ในภาวะเครื่องยนต์ตัวอื่นติดๆดับๆ ภาคการส่งออกทรงๆทรุดๆ ค่าเงินบาทอ่อนปวกเปียก ตลาดหุ้นร่วงระเนระนาด นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายบอนด์ หนีไปเวียดนาม อินโดนีเซีย

แรงส่งภายนอก ปัจจัยจากต่างประเทศเบาบางเต็มที

ในขณะที่ยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ การอัดฉีดน้ำหล่อเลี้ยงภายในด้วยโปรโมชันประชานิยมก็ไม่ลื่นไหลอย่างที่คิด โดยเฉพาะการติดด่านหินของ “เรือธง” โครงการไล่แจกเงิน “ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท”

ป่านนี้ยังตอบไม่ได้จะเอาเงิน 5.6 แสนล้าน จากตรงไหน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

ในอารมณ์ที่นายเศรษฐา เชิญนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากล่อมถึงทำเนียบรัฐบาล บรรเทากระแสข่าวปลดเบอร์หนึ่งแบงก์ชาติที่ไม่สนองตอบยุทธการเทกระจาดของรัฐบาล

แต่ก็ยังจับอาการเขม่นๆได้จากการที่ “เสี่ยโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หัวขบวนกุนซือนายกฯโพสต์เฟซบุ๊กเหน็บไล่หลัง แซะพวกที่หลงทาง หมกมุ่นอยู่กับการมีค่าเงินบาทแข็งๆ ทุนสำรองระหว่างประเทศสูงๆ

อ้างความเป็นอิสระอันเป็นสิทธิตามกฎหมาย ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย

ไม่ระบุตรงๆหมายถึงใคร แต่ในมุมของผู้ว่าการแบงก์ชาติที่หนักแน่นมั่นคงในจุดยืนไม่สนับสนุน “ประชานิยมแบบหว่านแห” มั่นใจตอนนี้เศรษฐกิจไทยไม่ได้ต้องการการกระตุ้นระยะสั้น แต่ควรเน้นรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมากกว่า

และนั่นก็ไปในทิศทางเดียวกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ขยับเคลื่อนไหว ร่อนแถลงการณ์คัดค้านการไล่แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งๆที่เศรษฐกิจไทยไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเหมือนโควิด

ไม่ควรเสี่ยงกับการ “หว่านประชานิยมหาเสียง” ของพรรคการเมือง

เพราะสุดท้าย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ก็ไม่ต่างจากเงินคริปโตฯ กระทบค่าเงินบาท ยังไม่นับเสียงทักดักคอเรื่องเงินทอน ค่าจ้างมหาศาลในการออกแบบบล็อกเชนรองรับการแจกเงินในอากาศ เอื้อธุรกิจในเครือข่ายผู้มีอำนาจ

ไม่ใช่แค่ “จิ้งจกทัก” แต่เสียงเตือนดังอื้ออึงยิ่งกว่าฝูงนกกระจาบ

เพิ่มระดับความท้าทาย วัดใจการลุยไฟเสี่ยงเดิมพันคว่ำตายหงายเป็น ด้วยตัวเลขงบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท สูงในระดับเดียวกับโครงการจำนำข้าวที่เกิดความเสียหายมหาศาล กลายเป็นคดีผลาญงบประมาณแผ่นดิน

ความเสี่ยงระยะยาวที่นายเศรษฐาต้องแบกรับ

นี่คือโจทย์เศรษฐกิจซับซ้อน แทรกด้วย “ภัยอุบัติใหม่” ถาโถม เพิ่มความยากในเชิงบริหาร การแก้ปัญหาปากท้องที่โยงเป็นเงื่อนไขกับเกมอำนาจ

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องโชว์เชิงเศรษฐกิจแลกตั๋วการเมือง

แก้ลำ “นายกฯส้มหล่น” ฟื้นเครดิต “รัฐบาลสูตรพิสดาร”

สภาพทางการเมืองของนายเศรษฐาที่เต็มไปด้วย “ตุ้มถ่วง” รอบเอว

แพทองธาร ชินวัตร
แพทองธาร ชินวัตร

แบบที่หม้อข้าวไม่ทันดำ สัญญาณ “วงแตก” แต่หัววัน ตามอาการเฮี้ยวๆ ลีลาเขี้ยวของ “สารวัตรเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มวยเก๋าพรรคเพื่อไทย ประกาศตัดหางกับนายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณทีมนายห้างดูไบ

ฉุนขาด โดนด่าลับหลังกวนอวัยวะเบื้องล่าง

แกะรอยตามทาง มาจากการแบ่งเค้กไม่ทั่วถึง มวยรุ่นเก๋าในค่ายเพื่อไทยโดน “แก๊งไอติม” ของ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับเพื่อน “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยึดหัวหาด

โคถึก ขุนพล ชิงอาละวาด ก่อนโดนฆ่า

แต่ที่น่าหวาดเสียวก็คือ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินคดีกับนายเศรษฐาในฐานะประธาน ก.ตร. กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนใหม่ข้ามอาวุโส ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขัด พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ

ยี่ห้อ “เสรีพิศุทธ์” ล็อกเป้าฟ้องใคร ไม่ค่อยพลาด

มันเหมือนการ “ปักชนัก” แผลเข้าเนื้อ รอเชื้อลามเป็นบาดทะยัก

พันธนาการ “ตุ้มถ่วง” หนักๆของนายเศรษฐา ในขณะที่เกมรื้อรัฐธรรมนูญ ที่ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ หัวหอกคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติ เพิ่งออกตัวจากจุดสตาร์ต

ตามลีลาดึงจังหวะลากยาวครบเทอม 4 ปี

แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ฝีมือการแก้ปากท้องของรัฐบาลไม่เข้าตา

เสียงโห่ให้รีบแก้กติกาเลือกตั้งใหม่ มาก่อนเวลาแน่.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม