ปลัดมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก” เน้นย้ำ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ต้องเป็น Partnership หลัก ในการขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งให้กับ “บริษัทประชารัฐรักสามัคคีทุกจังหวัด” 

วันที่ 1 ต.ค. 2566 ที่ห้อง 208-209 ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ “ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก” ในงานสัมมนาประจำปีคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยมี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หัวหน้าทีมภาคเอกชน นายอภิชาต โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิสภา นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัฐ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายชูชีพ พงษ์ไชย นายวรงค์ แสงเมือง รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการจังหวัด 76 จังหวัด คณะที่ปรึกษาและประธานกรรมการเครือข่ายประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟัง

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หัวหน้าทีมภาคเอกชน ที่เห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือให้พี่น้องประชาชนและประเทศชาติในส่วนรวมของพวกเรา ในการที่จะยื่นมือที่แข็งแรงเข้าไปช่วยเหลือ “ผู้ที่แข็งแรงน้อยกว่า” ให้มีโอกาสที่ดีในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  เพราะพวกเรามีเป้าหมายและภารกิจหน้าที่สำคัญในการเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ผู้บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้พี่น้องประชาชนใน 878 อำเภอ 7,255 ตำบล กว่า 66 ล้านคน ด้วยการเป็น Partnership ในการให้การบริการที่ดี รวมถึงการ “ป็นคุณพ่อหรือพี่เลี้ยงที่ดี” เพื่อให้ภาคีเครือข่ายและองคาพยพได้บรรลุไปสู่เป้าหมายสนับสนุนเกื้อกูลดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

...

สิ่งที่พวกเราพยายามขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อนำไปสู่ SDGs ทั้ง 17 ข้อ ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับปากท้อง ที่อยู่อาศัย ความมั่นคงทางอาหาร ความเท่าเทียม และความเสมอภาค รวมถึงความต้องการพื้นฐานของพี่น้องประชาชน (Basic Needs) หรือปัจจัย 4 จึงขอให้ทุกคนในที่นี้ได้ช่วยกันคิดไตร่ตรองว่า บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจะเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการทำให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมี “พัฒนาการจังหวัด” ทำหน้าที่ในฐานะกลไกในการขับเคลื่อนให้ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ รวมถึงภาคประชาสังคม ไปสนับสนุนให้เกิดสิ่งที่ดีกับพี่น้องประชาชนตามเป้าหมาย Social Enterprise เช่นเดียวกับบริษัทประชารัฐรักสามัคคี 

สิ่งที่สำคัญคือ “ผู้นำ” หากเรามีผู้นำที่เข้มแข็ง เราก็จะสามารถช่วยทำให้ “ผู้ตาม” มีความเข้มแข็งตามไปด้วย ผู้นำจึงต้องทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นำเอาหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข มีความรู้คู่คุณธรรม มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่เดือดร้อน และต้องแก้ไขในสิ่งผิด ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลักอริยสัจ 4 “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ปรับแนวคิด เอาบริบทของชีวิต ของครอบครัวที่บ้านหรือที่ทำงานมาประยุกต์ใช้วางแผนธุรกิจใหม่ เพื่อนำไปสู่การลดรายจ่าย สร้างรายได้ อาทิ การปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ สร้างความมั่นคงทางอาหาร เราต้องช่วยกันสร้างระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การคัดแยกขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน เปลี่ยนจากขยะให้มีมูลค่า ลดการปลดปล่อยก๊าซเสียสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งเสริมการรับรองและขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้อยู่ที่ “หัวใจ” ของพวกเราทุกคน เราทำคนเดียวไม่สำเร็จ ต้องมีภาคีเครือข่าย และมีจิตอาสา พร้อมทั้งนำเอาองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำธุรกิจ ทั้งนี้ พวกเราชาวมหาดไทยจะเป็นหุ้นส่วน (Partnership) ที่ดีของบริษัทประชารัฐรักสามัคคี ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน พลิกฟื้นแก้ไขในสิ่งผิด เพื่อให้พวกเราได้มีบริษัทประชารัฐรักสามัคคีที่มั่นคง ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

ด้าน นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หัวหน้าทีมภาคเอกชน กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2559 พวกเราได้มีโอกาสในการร่วมมือร่วมใจในการจัดตั้งคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลา 8 ปี ที่เราได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม รวมไปถึงภาคประชาชน โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นกรอบแนวคิดหลักในการดำเนินการ รวมถึงน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการ “สืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎรตลอดไป”

โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราดำเนินการขับเคลื่อนไปแล้วกว่า 1,500 โครงการ มีสมาชิกกว่า 100,000 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ 2,100 ล้านบาท