ปฏิทินเปิดหน้าเดือนตุลาคม เริ่มต้นปีงบประมาณใหม่
นับหนึ่งการบริหารภายหลังฤดูเกษียณอายุ เก่าไป ใหม่มา ตามวงรอบการแต่งตั้งโยกย้ายในหมู่ข้าราชการ หน่วยงานรัฐ
จัดกำลังใหม่ทั้งในส่วนของข้าราชการพลเรือนและสี่เหล่าทัพ
ในจังหวะพอดีรองรับฝ่ายบริหารชุดใหม่ รัฐบาลผสมพรรคเพื่อไทย นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง
ทั้งฝ่ายการเมืองและผู้นำหน่วยราชการได้ออกสตาร์ตไปพร้อมๆกัน
ตามสถานการณ์แบบที่ประชุม ครม.ชุดใหม่ ได้อนุมัติการแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวง อธิบดี ฯลฯ ส่วนใหญ่ตามบัญชีที่ตกค้างมาจากรัฐบาลก่อน
ไม่มีปัญหาเรื่องห้วงเวลาคาบเกี่ยวเปลี่ยนถ่ายอำนาจทางการเมือง
โดยเฉพาะจุดที่อ่อนไหวสุดคือกองทัพที่ “ปิดกล่อง” ไปตั้งแต่รัฐบาลรักษาการของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯและ รมว.กลาโหม
จัดแถวเรียงหนึ่งหน้ากระดานไว้ให้เสร็จสรรพ
...
การขยับขุนทหารหลักทั้งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศนิ่ง ตามระเบียบแบบแผน ภายใต้คณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายชั้นนายพล หรือ “7 เสือ บอร์ดกลาโหม”
ท็อปบูตนิ่ง ข้าราชการพลเรือนไร้รอยต่อ
แต่ที่ล่อกันน้ำบานก็คือตำรวจ แนวรบสีกากีที่เปิดศึกชิงเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกันแบบดุเดือดเลือดพล่าน
ฉาวสุดในหน้าประวัติศาสตร์อาณาจักรปทุมวัน
สถานการณ์ท้าทายนายกฯมือใหม่ แบบนายเศรษฐาต้องเจอกับโจทย์พิลึกพิลั่น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามฤกษ์วันเดียวกับการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)
เคาะโต๊ะ กาชื่อจ่าฝูงสีกากีคนใหม่
ในปรากฏการณ์แปลกๆแบบที่สื่อมวลชน “หลงทางหมู่” แทบทุกสำนักเสนอข่าวตรงกันว่ามีการเลื่อนการเคาะชื่อ ผบ.ตร.ออกไปเดือนตุลาคม โดยให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับหนึ่ง รักษาการ ผบ.ตร.ไปก่อน
แต่ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้น ต้องแก้ข่าวใหม่ ที่ประชุม ก.ตร.ทำการลงมติให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. อาวุโส ลำดับสี่ นั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.คนที่ 14
ยึกๆยักๆผิดปกติวิสัย การแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่จะม้วนเดียวจบ
และมันก็เป็นความผิดปกติต่อเนื่องมาจากฉากบู๊ล้างผลาญ เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ได้บุกเข้าตรวจค้นบ้านของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.คนดัง เพื่อหาหลักฐานจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชา 8 นายถูกดำเนินคดีข้อหาพัวพันกับการฟอกเงินพนันออนไลน์
“ฝีแตก” ประจานในจังหวะช่างบังเอิญเหมาะเหม็ง
“โปลิศจับตำรวจ” ลูกติดพัน นัวเนียกับคดีอื้อฉาวของ “กำนันนก” นายประวีณ จันทร์คล้าย ผู้มีอิทธิพลคนดังแห่งเมืองนครปฐม
อารมณ์แบบที่ “บิ๊กโจ๊ก” โวยวายว่า เป็นการเมืองในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดนเตะสกัด ในฐานะรอง ผบ.ตร.อาวุโส ลำดับที่สอง
เรื่องของการหักเหลี่ยมกันเองในหมู่ “ตัวเต็ง” ผบ.ตร.คนใหม่
และเหตุมันลุกลามถึงฝ่ายบริหารรัฐบาล นายกรัฐมนตรีเองก็เพิ่งเซ็นคำสั่งตั้งคณะกรรมการ “คนนอก” ตรวจสอบการค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก”
ด้วยเหตุผลชัดๆ เป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อความมั่นคง
ปมแห่งความสงสัยโยงกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ คนทั่วประเทศกำลังงงเกิดอะไรขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นเรื่องที่เข้าใจตรงกันว่า น่าจะรอให้เรื่องกระจ่างก่อนค่อยตั้งจ่าฝูงสีกากีคนที่ 14
ไม่มีเหตุให้ต้องรีบปิดกล่อง ตอกย้ำความคลางแคลงใจ
แม้นายเศรษฐาจะยืนยันว่า ตัดสินใจด้วยเจตนารมณ์บริสุทธิ์ ชัวร์ตามข้อกฎหมาย แต่โดยจังหวะยึกๆยักๆมันห้ามไม่ได้ที่สังคมจะสงสัย
นายกรัฐมนตรีมีความเป็นอิสระแค่ไหนในการตัดสินใจ
ในเครื่องหมายคำถาม ต้องรอสัญญาณจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เหมือนการจัดโผ ครม.วางตัวรัฐมนตรีหรือไม่
ประกอบกับปรากฏการณ์แปร่งๆ ตามข้อมูลที่สื่อรายงานตรงกัน นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร.เป็นคนเสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เอง แต่นายเศรษฐากลับงดออกเสียงในการลงมติที่ไม่เป็นเอกฉันท์
เหมือนตีกรรเชียง เด้งเชือกหนี หากมีลูกติดพันตามมา
ตามสถานการณ์ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ “มือสอยอาชีพ” ยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลปกครอง “นำร่อง” กระแสรอง ผบ.ตร.ที่อยู่ในแคนดิเดต ตั้งแท่นฟ้องร้องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ที่ข้ามหลักอาวุโส สุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ ส่อผิด พ.ร.บ.ตำรวจฯ
ชนวนระเบิดถูกจุดรอล่วงหน้า ต้องลุ้นเงี่ยงกฎหมายที่ไม่มีหลักประกันออกหัวออกก้อย
ในฐานะนายกรัฐมนตรีคือผู้เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์
ลอยตัวยังไงก็หนีไม่พ้นความรับผิดชอบอยู่ดี
มันคือ “เผือกร้อน” ที่ผู้นำมือใหม่อย่างนายเศรษฐาต้องแบกรับความเสี่ยงไว้ สไตล์ซีอีโอธุรกิจที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการบริหารความมั่นคง
ยืนงงในดง “เกมเพาเวอร์เพลย์” ไม่รู้สายไหนเป็นสายไหน
ในสภาพการณ์ที่วงการตำรวจ “เน่าใน” ไม่เหลือชิ้นดี จำเป็นต้องปฏิรูปใหญ่ แค่ในอารมณ์แบบที่นายเศรษฐาไม่กล้าใช้คำว่า “สังคายนา” ยังโดนโห่ลั่น
นายรังสิมันต์ โรม ตัวจี๊ดพรรคก้าวไกลเย้ยกลางสภา กระตุกสังคมร่วมด้วยช่วยกดดัน ประชาชนคนไทยจะมีหวังแค่ไหนกับการฟื้นศรัทธาตำรวจให้มาเป็นที่พึ่งของประชาชน
ในเมื่อนายกรัฐมนตรีแหยง ไม่กล้าแตะแดนสนธยา
ผู้นำต้องแบกรับภาระอุ้มตำรวจเน่า ในสภาพ “อำนาจไม่เต็มมือ”
ต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาตำแหน่ง ผบ.ตร.คือมือไม้สำคัญของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาความปลอดภัย งานด้านการข่าว การสนองตอบคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารงานความมั่นคงภายใน
โดยเฉพาะการรับมือม็อบ คุมเกมมวลชนป่วนรัฐบาล
นายเศรษฐาจำเป็นต้องได้คนที่รู้ใจ สั่งการสายตรงได้ สามารถวางใจในการประคองหลังให้แบบไม่ต้องหวาดระแวง
ตำรวจคือกองกำลังหลักในการแบ็กอัปอำนาจผู้นำ
ตามเงื่อนไขรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ไมได้ยุ่มย่ามเขตทหาร ทำได้แค่ส่งนอมินีการเมือง ราษฎร เต็มขั้นอย่างนายสุทิน คลังแสง นั่งแท่น รมว.กลาโหม
สะท้อนชัดการคุมเกมความมั่นคง อยู่ห่างมือนายกฯ.
“ทีมการเมือง”