ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ การเมืองก็เหมือนมายาที่นักแสดงแต่ละคนต่างก็สร้างบทของตัวเองแล้วเล่นไปตามนั้น

ใครดราม่าเก่งก็เด่นดังไปตามยุคสมัย

แต่สุดท้ายต่างก็จบลงไปตามวิถีทาง เพียงแต่ว่าจะจบสวยหรือไม่สวย ล้วนเป็นเรื่องของแต่ละคน

ล้วนเป็นเรื่อง “บุญทำกรรมแต่ง” แตกต่างกันไป

“ก้าวไกล” พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ประกอบไปด้วยหนุ่ม-สาวที่ประกาศเจตนารมณ์ว่าด้วย “อุดมการณ์” แก่กล้า

เหนือชั้นกว่าพรรคการเมืองทุกพรรค

รางวัลที่ได้รับคือชนะการเลือกตั้งอันดับ 1 จำนวน 151 เสียง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาล คว้าอำนาจรัฐมาครองได้

เป็นนายกรัฐมนตรีเทพอยู่ช่วงระยะหนึ่ง ที่สุดก็ต้องปล่อยให้ “เพื่อไทย” รวบยอดคว้าหัวน้ำหวานไปกินหมด

เหลือแค่เก้าอี้รองประธานสภาฯคนที่ 1 ให้หายเซ็งเท่านั้น

คงสมใจอยาก เพราะประกาศว่าไม่ยึดติดตำแหน่งแห่งหน ไม่โหยหาสิ่งที่ไม่ควรได้ แต่ในสนามที่เป็นจริง

หาใช่อย่างนั้นไม่?

เมื่อมีกติกากำหนดเอาไว้ว่า พรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุดจะได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาฯ

“ก้าวไกล” อยากเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ต้องทิ้งตำแหน่งรองประธานสภาฯ นี่เป็นข้อจำกัดที่ต้องพึงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

แต่ “ก้าวไกล” อยากได้ทั้ง 2 ตำแหน่ง

ผลก็คือปฏิบัติการ “ปาหี่” ด้วยการให้กรรมการบริหารลงมติขับ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” รองประธานสภาฯออกจากพรรคเพื่อไปสังกัดพรรค การเมืองอื่น

อ้างเหตุผลต่างๆนานา เพื่อชวนให้เชื่อ ทำให้ “ก้าวไกล”เหลือ สส.เพียง 150 คน แต่คงคิดว่าคุ้มกับการได้ 2 ตำแหน่งทางการเมือง

...

เหตุผลที่นำมาอ้างในการขับออกจากพรรค สั้นๆง่ายๆคือแนวทางไม่ตรงกัน

ในทางการเมืองนั้น การย้ายพรรคถือเป็นเรื่องที่นักการเมืองที่มีอุดมการณ์และหลักการมักไม่ทำกัน

เพราะมันหมายถึงความไม่มั่นคงในหลักคิด

แต่ “ปดิพัทธ์” ตัดช่องน้อยเอาประโยชน์เฉพาะหน้า ต้องละทิ้งหลักการใหญ่ เพราะแม้จะไปสังกัดพรรคอื่น แม้จะอ้างว่าแนวทางเดียวกัน

ทว่ามันมีความต่างที่รู้กันอยู่แล้ว

ก็เอาเถอะ...นักการเมืองคนหนึ่งที่พยายามจะวางบทบาทตัวเองว่าสูงส่ง แต่เพียงแค่ตำแหน่งเดียวยังยอมทิ้งพรรคเพื่อแลกกับการได้มา

ใครไม่รู้แต่ตัวเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ!

ความจริงการเมืองนั้นยังมีอะไรอีกมากมายที่สามารถจะพิสูจน์ “คน” ว่าแค่ไหน อย่างไร ไม่ต่างกับ “พรรค” ก็เช่นกัน

การละทิ้งสิ่งที่ดีงามและความถูกต้องเพียงแค่ตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่ควรได้ มันก็พอจะพิสูจน์ให้เห็นได้

แค่ไหน อย่างไรแล้ว...นับประสาอะไร?

จากนี้ไปก็อย่าไปว่ากล่าวนักการเมือง หรือพรรคการเมืองอื่น หรือแสดงความสูงส่งของตัวเองว่าเหนือกว่าเขาเป็นอันขาด

เพราะมันน่าละอายใจมากกว่า

เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เห็นแล้วว่าอีก 4 ปี ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน!

“ลิขิต จงสกุล”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม