“เศรษฐา” ชื่นมื่นกระชับสัมพันธ์ “ฮุน มาเนต” ผู้นำมือใหม่ทั้งคู่ พร้อมเชิญนายกฯกัมพูชาเยือนไทย แจ้งสละเงินเดือนนายกฯ-ค่าตอบแทนอื่น บริจาคเข้าองค์กรการกุศลที่ยังรอการช่วยเหลือ แต่ไม่กดดันรัฐมนตรีคนอื่น “ชัย” เผยให้มูลนิธิเด็กเป็นที่แรก “พิชิต” แจงส่งต่อโอกาสคนไทย หวังกระตุ้นนักการเมืองทุ่มเทเพื่อประชาชน “สมคิด” โต้ “โรม” นายกฯไม่คิดหนีสภาฯ โฆษก รบ.จี๊ดรู้ทั้งรู้ไม่อยู่ ตั้งกระทู้ไปเพื่ออะไร “จิรัฏฐ์” บี้ “สุทิน” สอบน้ำมันหายในค่ายทหาร ดักคอดันทุรังอุดหนุนบริษัทจีนซื้อเรือดำน้ำ “สุทิน” ครวญเพิ่งมานั่งคุม กห. ศาลคดีทุจริตฟัน “นิพนธ์” ยื้อจ่ายค่ารถซ่อมทาง สมัยเป็นนายก อบจ.สงขลา ทำเอกชนเสียหาย 50 ล. พิพากษาจำคุก 9 ปี พร้อมห้ามลงสมัครเลือกตั้งอีก 5 ปี ยื่น 2 แสนขอประกัน

ในขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง มุ่งมั่นเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ ล่าสุดได้แจ้งความประสงค์ขอส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมตลอดการดำรงตำแหน่ง โดยไม่ขอรับเงินและผลตอบแทนเหล่านี้ เพื่อบริจาคให้กับมูลนิธิการกุศลต่างๆ ที่ยังคงต้องการความช่วยเหลืออยู่

“เศรษฐา” สละเงินเดือนนายกฯ

เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 28 ก.ย. ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) ดอนเมือง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง นำคณะออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ในโอกาสเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมตลอดการดำรงตำแหน่ง บริจาคให้มูลนิธิต่างๆว่า รับเงินเดือนมาแล้วจ่ายภาษี แล้วก็บริจาค เป็นความประสงค์ของตน เมื่อถามว่าจะกลายเป็นตัวอย่างให้รัฐมนตรีคนอื่นด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า “ไม่ใช่ครับๆ เป็นความประสงค์ส่วนตัว อย่าไปกดดันท่านอื่นเลย เพราะความจำเป็นส่วนตัวเขามีทุกคน” เมื่อถามว่ามีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายหรือไม่ กรณีบริจาคเงินเกิน 3 พันบาทจะผิดอะไรหรือไม่ นายกฯตอบว่ากำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่ บริจาคไปตามมูลนิธิต่างๆที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว และช่วยเหลือภาคส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นเจตนารมณ์เท่านั้น เมื่อถามว่าถือเป็นสิ่งที่ทำมาก่อนจะมาดำรงตำแหน่งนายกฯหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า พยายามจะทำต่อไป แต่ไม่อยากพูดเยอะ เดี๋ยวจะหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ คิดว่าเงียบๆไปจะดีกว่า

...

เชิญนายกฯกัมพูชามาเยือนไทย

ต่อมาเวลา 11.00 น. หลังเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา นายเศรษฐาพร้อมคณะ หารือทวิภาคีกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งสองต่างแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกฯช่วงเดียวกัน ต่างย้ำมิตรภาพอันใกล้ชิด และเป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ พร้อมประกาศยกระดับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ นายเศรษฐาเชิญนายกฯกัมพูชาเยือนไทยด้วย ขณะที่ผู้นำทั้งสองได้หารือประเด็นสำคัญร่วมกัน อาทิ เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือการค้าการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกและเพิ่มปริมาณการค้า ให้บรรลุเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯภายในปี 2568 ผลักดันการขนส่งข้ามแดน เร่งรัดเปิดใช้สะพานมิตรภาพที่บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท ด้านการท่องเที่ยวมีการขอให้กัมพูชาอนุญาตให้ใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราว ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามแนวชายแดน

จับมือทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ด้านความมั่นคง นายเศรษฐาเสนอให้กัมพูชาจัดการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ครั้งต่อไป เพื่อเดินหน้ายกระดับจุดผ่านแดน เพิ่มปริมาณการค้าชายแดน ร่วมเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามพื้นที่ชายแดน นายกฯย้ำว่าคณะทำงานทั้งสองฝ่ายควรร่วมกันติดตามผล และนำการหารือไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และนำกลับมารายงานให้ทราบ ร่วมมือป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ติดตามข่าวปลอม (fake news) เพื่อป้องกันได้ทันท่วงที จากนั้นนายเศรษฐาและนายกฯกัมพูชา ร่วมทำพิธีส่งมอบเชิงสัญลักษณ์ศูนย์แรกรับเหยื่อการค้ามนุษย์ และกลุ่มเสี่ยงในปอยเปต จ.บันเตียเมียนเจย ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ที่นายกฯกัมพูชาจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ และช่วงบ่ายนายกฯเดินทางไปวางพวงมาลา ณ วิมานเอกราช และวางพวงมาลาถวายสักการะแด่พระบรม ราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระบรมรัตนโกศ ณ กรุงพนมเปญ

พบสองประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ

จากนั้นเวลา 15.30 น.ที่สภาแห่งชาติ กรุงพนมเปญ นายเศรษฐาพบหารือกับสมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ถึงแนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือในมิติรัฐสภา แลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างสมาชิกรัฐสภามากขึ้น นายกฯยืนยันไทยยินดีดูแลแรงงานกัมพูชา ที่อยู่ในไทยเกือบล้านคน คำนึงถึงมนุษยธรรม ตามที่ประธานรัฐสภาขอให้ไทยช่วยดูแล และที่เสนอให้ทั้ง 2 รัฐสภาร่วมมือกัน โดยรัฐสภากัมพูชาต้องการเป็น e-parliament และ e-government เหมือนเช่นไทย ต่อมานายกฯไปยังพฤฒสภา กรุงพนมเปญ เข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จวิบุลเสนาภักดี ซาย ชุม ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และประธานวุฒิสภากัมพูชา ทั้งสองฝ่ายต่างชื่นชมความสัมพันธ์ทั้งในระดับพระราชวงศ์และระดับประชาชน ขณะที่ไทยยินดีส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศอย่างเต็มที่ต่อไป

“สมเด็จฮุนเซน” เชื่อมั่น “เศรษฐา”

กระทั่งเวลา 17.00 น. ณ วิมาน 7 มกรา ที่ทำการพรรคประชาชนกัมพูชา นายเศรษฐา เข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา นายเศรษฐากล่าวชื่นชมว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ขณะที่สมเด็จฮุน เซนแสดงความยินดีต่อการเข้ารับตำแหน่งและเชื่อมั่นนายกฯจะสานต่อยกระดับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ส่งเสริมความร่วมมือทุกระดับของไทย-กัมพูชา ให้นำไปสู่ความผาสุก เจริญรุ่งเรือง และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ภายหลังเข้าเยี่ยมคารวะ สมเด็จฮุน เซน เป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่นายกฯก่อนเดินทางกลับไทย

ชื่นมื่นกัมพูชาแต่งเพลงต้อนรับ

ขณะที่นายเศรษฐาโพสต์ลงเฟซบุ๊กระบุว่า “มาเยือนกัมพูชาวันนี้ประทับใจมาก มีโอกาสแสดงความขอบคุณสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต ที่เป็นผู้นำท่านแรกที่โทร.มาแสดงความยินดีกับผม สำคัญไปกว่านั้นรู้สึกยินดีที่สุดที่กัมพูชา-ไทยมีเป้าหมายเดียวกัน ขอบคุณเพลงเพราะๆที่ทางรัฐบาลกัมพูชาตั้งใจแต่งให้ผม เพลงเพราะมาก เนื้อหาเพลงสะท้อนความสัมพันธ์ของเราทั้ง 2 ประเทศเป็นอย่างยิ่ง”

บริจาคให้มูลนิธิเด็กเป็นที่แรก

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง ขอส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมของทุกเดือนที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งนายกฯและ รมว.คลัง ให้มูลนิธิต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้เปราะบางที่ต้องการการช่วยเหลือ นายกฯมีดำริว่า “การให้” เป็นเรื่องที่ดี ตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน ตั้งใจเริ่มที่ตัวเองก่อน ขณะที่รัฐบาลมีหลายนโยบายที่พยายามมุ่งสร้างประโยชน์สุขและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทั้งนี้ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของนายกฯและ รมว.คลังทั้งหมด หลังได้รับมาแล้วรวม 125,590 บาทต่อเดือน เป็นเงินเดือนนายกฯ 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท ส่วนการคัดเลือกองค์กรที่จะได้รับความช่วยเหลือ จะมีทีมงานเป็นผู้กำหนดเกณฑ์ ครั้งแรกจะบริจาคให้กับมูลนิธิเด็ก (FOUNDATION FOR CHILDREN) ช่วยเหลือเด็กด้านปัจจัยพื้นฐาน การดำเนินชีวิตและสวัสดิการต่างๆ นายกฯจะพยายามหาโอกาสไปพบปะพูดคุยกับองค์กรกลุ่มต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหา และความเดือดร้อนของมูลนิธิที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป

ส่งต่อโอกาสกระตุ้นความทุ่มเท

นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวว่า เงินเดือนเมื่อได้รับมาแล้วถือเป็นทรัพย์สินของนายกฯ ท่านก็ส่งต่อให้กับมูลนิธิต่างๆเพื่อการกุศล ทั้งเด็กด้อยโอกาส ผู้พิการซ้ำซ้อน เฉลี่ยกันไป ไม่เกี่ยวกับองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเมืองสามารถทำได้ เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงเลือกตั้งที่กฎหมายห้ามไว้ ต่างจากการรับทรัพย์สินต่างๆ ที่กฎหมายเขียนห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐรับ ส่วนตัวมองว่าการบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆเช่นนี้เป็นการแสดงออกถึงความทุ่มเททำงานให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่ โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพราะทุกคนทราบดีว่าก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้ามาสู่การเมือง มีความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว ถือเป็นการส่งมอบโอกาสให้กับประชาชนคนไทย และเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองทุ่มเทเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

“สมคิด” ยัน “เศรษฐา” ไม่หนีสภาฯ

นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ในสภาฯต่อนายกฯว่า เป็นการตั้งกระทู้ถามแบบปัจจุบันทันด่วน นายกฯต้องไปปฏิบัติภารกิจที่กัมพูชาไม่ใช่เป็นการเลี่ยงตอบ เมื่อมีผู้ตั้งกระทู้ถามจึงไม่มีใครไปตอบ ยืนยันว่านายกฯไม่ได้หนีกระทู้และพร้อมจะตอบคําถาม นายกฯบัญชาว่าถ้าไม่ติดภารกิจอะไรให้ทุกคนไปตอบกระทู้ วันนี้ก็มีนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไปตอบกระทู้ นายกฯไม่ได้หนีสภาฯเพียงแต่มีภารกิจจำเป็นที่กัมพูชา ฝากถึงพรรคก้าวไกลถ้าอยากถามใหม่อาทิตย์หน้าเราจะประสานให้ ถ้านายกฯอยู่จะไปตอบ ให้ใจเย็นนิดนึง ถ้าไม่มีภารกิจจะไปตอบให้ ขออย่างเดียวให้ประสานโดยเร็ว

โฆษก รบ.โต้รู้ว่าไม่อยู่ แต่หาเรื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าพรรค ก.ก.เล่นเกมการเมืองมากไปหรือไม่ นายสมคิดตอบว่า เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องตรวจสอบและสอบถาม จะเล่นหรือไม่ไม่ทราบ อยากให้เข้าใจรู้อยู่แล้วว่านายกฯต้องไปเยือนกัมพูชา ข่าวออกไปทั่ว แต่ไม่ใช่ความผิดของใคร อาจประสานงานคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อยเท่านั้น นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐ มนตรี กล่าวว่า “รู้ทั้งรู้ว่านายกฯติดภารกิจเยือนกัมพูชาแต่ยังหาเรื่องตั้งกระทู้ถามสดในสภา ทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร ประเทศชาติประชาชนได้ประโยชน์อะไร”

“จิรัฏฐ์” ตั้งกระทู้สดบี้ “สุทิน”

เมื่อเวลา 10.30 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสด โดยนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ถามนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหมว่า กรณีน้ำมันดีเซล มทบ.18 จ.สระบุรี หายไป 250,000 ลิตร จากเอกสารหลุดน้ำมันดีเซลหาย 250,000 ลิตร ตีเป็นเงินกว่า 6 ล้านบาท ถ้าเป็นถัง 200 ลิตร มีประมาณ 1,075 ถัง คงไม่ระเหยไปเฉยๆ มีคนขโมยแน่ๆ ทำแบบนี้ได้ต้องเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ รมว.กลาโหมมีแต่ชื่นชมกองทัพ ไม่ขู่ไม่ปราม น้ำมันหายตั้งแต่ ก.ย. 2565 เพิ่งตั้งกรรมการสอบ มิ.ย. 2566 ทั้งในเอกสารบอกว่าส่งผลตรวจไปให้ ผบ.ทบ. วันที่ 30 พ.ค. แล้ว ทำไมไม่บอกผลตรวจ ถ้าทำดีอยู่แล้วเราจะมีรัฐมนตรีไปเพื่ออะไร กองทัพต้องปฏิรูป

สับนายกฯ ดันทุรังซื้อเรือดำน้ำ

นายจิรัฏฐ์ถามต่อว่า นายกฯไปเจรจากับนายกฯ เยอรมันเรื่องเครื่องยนต์เรือดำน้ำจีน ผลเป็นอย่างไร และ ผบ.ทร.เซ็นอนุมัติใช้เครื่องยนต์ของจีนสัปดาห์สุดท้ายก่อนเกษียณ รมว.กลาโหมไม่ห่วงหรือ ถ้ามีปัญหาใครรับผิดชอบ มีข่าวนายกฯต้องไปเจรจากับจีนเอง หมดสัญญาไปกี่ปีแล้วเรือยังไม่เคยเห็น ควรยกเลิกสัญญา ขอค่าชดเชย ต่อรอง หรือเอาเงินที่จ่ายไปแล้ว 7 พันล้านบาทไปซื้ออย่างอื่น ไม่ใช่ดันทุรัง ควรไปเจรจากับจีนมากกว่าเยอรมัน นายกฯ ไม่ใช่ตัวแทนบริษัทจีน ดีลนี้แย่ที่สุด ไม่มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอะไรเลย ได้อย่างเดียวคือเครื่องยนต์จีนที่ยังไม่เคยมีใครใช้ ส่วนการกู้เรือหลวงสุโขทัยมีแนวโน้มสูงว่ากองทัพเรือไม่อยากกู้เรือ โดยตั้งเงื่อนไขทีโออาร์โหดแสนโหด ทั้งโลกมีอยู่แค่ 2 บริษัทที่ทำได้ โดย 1 ใน 6 บริษัท ที่มาเสนอราคา มี 1 บริษัทมีคุณสมบัติที่ ทร.ต้องการ ทำไมไม่จิ้มเลย ครั้งนี้ดันเปิดประมูลโปร่งใส อยู่ดีๆล้มการประมูล บอกว่าเอกสารไม่ครบ ตลกมาก ดูท่าเหมือนตั้งใจไม่อยากจะกู้เรือ รมว.กลาโหมมีแผนจัดการอย่างไร

“สุทิน” ครวญเพิ่งมานั่งคุม กห.

นายสุทินชี้แจงว่า มาตรการเรื่องน้ำมันหาย 1.ให้สอบสวนเอาคนผิดมาลงโทษ เชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว 2.ให้รื้อฟื้นระบบตรวจสอบภายในอย่างเคร่งครัดจริงจัง ถ้าพิจารณาดูคำให้สัมภาษณ์ของตนดีๆ สุดท้ายก็คือคำขู่โดยมารยาท ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ มี 3 ขั้นตอน 1.เรื่องเบื้องต้นอยู่ที่ ทร. สรุปอย่างไรจะเสนอมาที่กระทรวง กลาโหม ถ้าตนเห็นชอบตามนั้นหรือไม่เห็นชอบอย่างไรก็ไปจบที่ ครม. แต่เรื่องยังไม่เคยถึง รมว.กลาโหมเลย จะไปด่วนสรุปว่าเดินหน้าต่อหรือยกเลิกคงไม่ถูก เวลายังเหลืออยู่อีก 2-3 เดือน เราไปตัดสินยกเลิกก่อนสัญญายังไม่ครบก็ไม่ใช่ ส่วนที่นายกฯ จะไปเจรจากับทางเยอรมนีเป็นเพียงมาตรการเสริมรักษาผลประโยชน์ชาติให้มากที่สุด เรารู้ดีว่าถ้าในภาวะปกติจะไปคุยแทนผู้ขายไม่ได้ ไม่ควรไปยุ่ง แต่มันไม่ปกติคือมันจะไม่เกิดตามสัญญา ทางใดที่เราทำได้ก็อยากทำให้กองทัพได้ประโยชน์ ประเทศไม่เสียประโยชน์ ทั้งเรื่องเรือดำน้ำ และเรือหลวงสุโขทัย มันเกิดในรัฐบาลก่อน เพิ่งมารับตำแหน่ง 2 สัปดาห์ แต่การกู้เรือได้ให้จเรทหารลงไปสอดส่อง หรือหาผู้รับจ้างกู้เรือ ถ้าไม่ชอบมาพากล ทร.ทำนอกเหนือจากระเบียบราชการ เอื้อประโยชน์สมยอมกับใคร จะเอาผิดไม่มีปล่อย

“ชัยชนะ” ยัน ปชป.ไม่แตกพรรค

อีกเรื่องนายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรี ธรรมราช รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวสมาชิกพรรค ปชป.บางส่วน และอดีต สส. จะไปจัดตั้งพรรคใหม่เพื่อดันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. เป็นหัวหน้าพรรคว่า เพิ่งทราบข่าวผ่านสื่อเช่นกัน ในพรรคไม่มีการพูดคุย เท่าที่ยืนยันได้ สส.ทั้ง 25 คนในปัจจุบัน ไม่มีใครย้ายไปตั้งพรรคใหม่ แต่อดีตสมาชิกพรรคตนไม่ทราบ ส่วนการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชุดใหม่ครั้งที่ 3 จะนัดประชุมกันภายในต้นเดือน ต.ค. อาจหารือและขอมติจากที่ประชุมหาทางให้การประชุมเลือกกก.บห.ชุดใหม่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีองค์ประชุมครบ ดังนั้นภายใน ต.ค.หรือช้าสุดไม่เกินต้น พ.ย. หัวหน้าพรรคคนใหม่ยังคงเป็นชื่อนายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวพรรค ปชป. เช่นเดิม และคิดว่าอยู่ที่การพูดคุยเจรจาภายใต้ความรักและปรารถนาดีต่อพรรคก็จบ

“อู๊ดด้า” หวังกู้วิกฤติขอโทษทุกคน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ รักษาการหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า ยังไม่เคยได้ยินที่สมาชิกพรรคจะไปตั้งพรรคใหม่ ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้ ต้องไปถามผู้ที่มีชื่ออยู่ในข่าว ส่วนปัญหาคาราคาซังที่มีอยู่ภายในพรรค เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ต้องรอเวลาปรับการทำงานให้เข้ากัน ทุกอย่างจะยุติได้ พรรคเคยผ่านวิกฤติแบบนี้มาหลายครั้ง ในอดีตหนักหน่วงกว่านี้มากแต่ฟื้นกลับมาได้ สำคัญที่สุดคือประชาชนยังไม่ทิ้งพรรค ในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคขอโทษทุกคน ยืนยันว่าพยายามอย่างเต็มที่ ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปสู่ความเรียบร้อย จะทำให้เร็วที่สุด เชื่อว่าแต่ละฝ่ายเริ่มหันหน้าเข้าหาพูดคุยปรับจูนความคิดไปในทิศทางเดียวกันได้ เมื่อถามว่ารอยร้าวเริ่มสมานดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ตอบว่า ไม่อยากพูดว่ารอยร้าวหรือไม่ร้าว ทุกคนตระหนักถึงภารกิจ ทำให้พรรคเดินหน้าไปให้ได้ กลับมาเติบโตอีกครั้ง และพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับทุกพรรค

ฟัน “นิพนธ์” ยื้อจ่ายค่ารถซ่อมทาง

วันเดียวกัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้องนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และอดีตนายก อบจ.สงขลา เป็นจำเลยฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เมื่อครั้งจำเลยเป็นนายก อบจ.สงขลา ไม่อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทาง 2 คัน ให้แก่บริษัทเอกชน (พลวิศว์เทคพลัสจำกัด) ที่ชนะประมูล รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เหตุเกิดปี 2564 ครั้งนั้นมีบริษัทเอกชนหลายแห่งเข้าเสนอราคาและถูกดำเนินคดีหลายสำนวน ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีเจตนาโดยตรงเพื่อประวิงเวลาให้ผู้ขายไม่สามารถดำเนินการโอนทะเบียน และไม่สามารถรับการชำระเงิน ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ขายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา

สั่งจำคุก 9 ปี ห้ามลงสมัครอีก 5 ปี

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อาญามาตรา 157 ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยนั้น เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยตรง จึงเห็นสมควรเพิกถอนเฉพาะสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลย พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) จำคุก 9 ปี และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดเวลา 5 ปี ต่อมานายนิพนธ์ได้ประกันตัวแล้วในวงเงิน 2 แสนบาท

ก.ก.ขอเกลี่ยเก้าอี้ ปธ.กมธ.ใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคก้าวไกล ถึงความคืบหน้าการคัดสรร สส.ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) ของสภาฯ จำนวน 11 คณะว่า กระบวนการทั้งหมดดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยรายชื่อประธานคณะ กมธ. ที่น่าสนใจ อาทิ นายศักดินัย นุ่มหนู สส.ตราด เป็นประธาน กมธ.เกษตรและสหกรณ์ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. เป็นประธาน กมธ.สวัสดิการสังคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.ทหาร นายรังสิมันต์ โรม  สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน น.ส.เบญจา แสงจันทร์ เป็นประธาน กมธ.กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นประธาน กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ และนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม แต่ล่าสุดแกนนำพรรค ก.ก.เปิดเผยว่า มีการเซ็ตซีโร่ให้เสนอตัวกันใหม่ “ด้วยเหตุผลบางประการ” ทำให้ต้องมาเกลี่ยกันใหม่ทั้งหมด

ก.ก.ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน

เวลา 20.42 น. เพจเฟซบุ๊กพรรคก้าวไกล โพสต์แถลงการณ์พรรคกรณีให้นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก และรองประธานสภาฯ พ้นจากสมาชิกภาพ มีใจความระบุว่า “เรียนพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศ นับจากนี้ไปพรรค ก.ก.จะมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเต็มที่ในฐานะฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า และเตรียมความพร้อมในการเป็นรัฐบาลที่ดีของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป วันนี้ (28 ก.ย.) คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และ สส. พรรคประชุมร่วมกัน เพื่อวางแนวทางการทำงานที่รองรับเป้าหมายของพรรคดังต่อไปนี้ 1.ที่ประชุมร่วมเห็นตรงกันว่าพรรคควรเดินหน้าเป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ นายชัยธวัช ตุลาธน รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อกำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ 2.การตัดสินใจดังกล่าวจะทำให้ สส.พรรคไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106

ขับ “ปดิพัทธ์” พ้นสมาชิกพรรค

3.กก.บห.พรรคหารือประเด็นดังกล่าวกับนายปดิพัทธ์ ยังคงแสดงความประสงค์ต้องการทำหน้าที่รองประธานสภาฯต่อไป เพื่อผลักดันให้สภามีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น 4.เห็นด้วยว่าภารกิจที่นายปดิพัทธ์ตั้งใจขับเคลื่อน แต่ที่ประชุมยังคงยืนยันถึงความสำคัญของการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากนายปดิพัทธ์ยังเป็นรองประธานสภาฯ 5.ที่ประชุมจึงมีมติว่าเมื่อนายปดิพัทธ์ยังคงยืนยันทำงานในฐานะรองประธานสภาฯต่อ พรรคจำเป็นต้องให้นายปดิพัทธ์ออกจากการเป็นสมาชิกของพรรค ตามบทบัญญัติข้อบังคับพรรค และรัฐ ธรรมนูญ เพื่อให้พรรคสามารถทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ได้ 6.หวังว่าแม้นายปดิพัทธ์จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคอีกต่อไป แต่จะยังขับเคลื่อนนโยบายตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ และต้องวางตนเป็นกลางต่อทุกพรรคในการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 80

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่