“นายกฯนิด” แถลงปิดจ๊อบเวทียูเอ็น กล่อมต่างชาติคัมแบ็กลงทุนในไทยอวดผลงานอัปเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค โชว์คนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขอย่างสมเกียรติ ทริปต่อไป พ.ย. บินถกเอเปก ยันไม่ต้องห่วงที่มาเม็ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต หงุดหงิดสื่อตีความจะตั้ง “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษานายกฯ “จุรินทร์” ดักคอรัฐบาลอย่ากินรวบ แก้ รธน. ยึดฉบับปี 40 ปิดทางฝ่ายค้านซักฟอก “ราเมศ” เหน็บถ้าจริงใจ ไม่ควรตั้งท่านาน “วิษณุ” ไม่ร่วมวงกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติ ชี้ช่องแก้ ม.256 ลดการทำประชามติซ้ำซ้อน พรรคสีส้มคึกจัดงาน “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” “ไอติม” ลั่นเป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศได้ “ชัยธวัช” ชู 4 ยุทธศาสตร์ 1 ภารกิจพิเศษ ลุยตรวจสอบเข้มข้นดุดัน ไม่เกรงใจใคร “พิธา” ตั้งเป้าครั้งหน้ากวาด สส. 300 เสียง โอ่ขยายฐานสมาชิกครองอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

หลังเดินทางกลับจากการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลัง แถลงข่าวตอกย้ำถึงความสำเร็จในภารกิจแรก เพื่อบอกกับประชาคมโลกว่าประเทศไทยเปิดแล้ว และพร้อมให้มาลงทุนในประเทศมากขึ้น

...

นายกฯย้ำความสำเร็จเวทียูเอ็น

เมื่อเวลา 07.27 น.วันที่ 26 ก.ย.ที่ห้องรับรองพิเศษ VIP ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลังกลับจากการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประ ชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA 78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้ภารกิจ 4 วันผ่านไปได้ ได้พบปะผู้นำหลายประเทศ องค์กร บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้งเทสลา ไมโครซอฟท์ กูเกิล ซิตี้แบงก์ เจ.พี.มอร์แกน Goldman Sachs เอสเต ลอเดอร์ สนใจมาลงทุน บางแห่งมาลงทุนแล้วรูปแบบต่างๆที่ไทย หน้าที่ตนคือไปประกาศให้คนรู้ว่าประเทศไทยเปิดแล้ว พร้อมและยินดีให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น ส่วนการพบผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก มองเห็นลู่ทางจะให้บริษัทของไทยไปจดทะเบียน เพราะไม่เคยมีบริษัทใดไปจดทะเบียนเลย หวังสัก 1 บริษัท ยังได้พบประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) พูดคุยถึงการเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกที่อาเซียนในปี 2032 เป็นแผนที่ไม่ง่าย แต่ก้าวแรกคือเราอยากได้รับการสนับสนุนจากฟีฟ่าให้ช่วยดูฟุตบอลรากหญ้า จากเดิมได้รับการสนับสนุนปีละ 2.5 แสนเหรียญ ตอนนี้เป็นปีละประมาณ 2 ล้านเหรียญ ทำให้คาดหวังว่าจะพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย

อวดอัปเกรด 30 บาทรักษาทุกโรค

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนเรื่องยูเอ็นในภาวะการแข่งขันและภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกแยกค่อนข้างมาก เป็นประเด็นสำคัญต้องพิจารณา ธีมยูเอ็นปีนี้คือให้มาดูการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน 17 ข้อ กว่า 190 ประเทศเข้าร่วมมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เรื่องภาวะโลกร้อน สิทธิมนุษยชน หากมีสงครามระหว่างประเทศมาก จะทำให้มีผู้เดือดร้อน มีผู้อพยพลี้ภัย ต้องดูและให้ความเป็นธรรม ที่สำคัญจุดยืนที่ตนไปประกาศในเวทีนี้คือ เราเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยึดมั่นช่วยผลักดันให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ และการดำเนินการเศรษฐกิจพอเพียง เรายังได้นำเสนอนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคอัปเกรด ทำให้ประชาชนมีสิทธิเลือกใช้บริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างสมเกียรติ

จีบต่างชาติลงทุนไทยหลายพันล้าน

เมื่อถามว่า ต่างประเทศที่จะมาลงทุนยังกังวลกับสถานการณ์ในประเทศหรืออุปสรรคใดหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ความกังวลเรื่องนี้ลดหายไปเยอะ คงไม่มีเรื่องนี้แล้ว แต่จะมีเรื่องกฎหมายบางข้อ และการอำนวยความสะดวกธุรกิจ สัปดาห์ที่ผ่านมาการประชุมทั้งบีโอไอและกระทรวงการต่างประเทศ ต่างช่วยกันขยายความว่าเราพร้อมสำหรับการลงทุน พร้อมรับฟังความเห็น อะไรทำได้จะทำก่อน อะไรต้องแก้ไขกฎกติกา จะมาดูความเหมาะสมอีกครั้ง เมื่อถามว่าธุรกิจอะไรที่ต่างชาติสนใจมาลงทุนมากที่สุด นายเศรษฐากล่าวว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท เช่น เทสลาจะมาดูเปิดโรงงานผลิตรถยนต์อีวี ไมโครซอฟท์ กูเกิล มาดูดาต้า เซ็นเตอร์ ที่จะลงทุนสูงมากประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯต่อรายสำหรับการลงทุนขั้นต้น อุปสรรคต่อการลงทุน ไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษ แต่เราไม่ได้ค้าขายระหว่างประเทศมานาน ทำให้บางบริษัทกังวลเวลาที่มาลงทุน ต้องนำไปพิจารณาดูรายละเอียดให้เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัทรายใหญ่ประเมินมูลค่าการลงทุนในไทยของเอกชนรายใหญ่คงประเมินลำบาก เพราะภาคอุตสาหกรรม เช่น เทสลา ไมโครซอฟท์ กูเกิล การลงทุนขั้นต้นประมาณ 5 พันล้านเหรียญ แต่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาจทำให้เกิดการลงทุนสูงมาก หากมาตั้งสำนักงานที่ประเทศไทยมีโอกาสที่บริษัทเหล่านั้นอาจเผยแพร่ความน่าอยู่และตัวเลขเศรษฐกิจ ความเจริญของไทย นำบริษัทอื่นมาลงทุน

เตรียมบินต่อร่วมประชุมเอเปก

นายกฯกล่าวว่า เรื่องการลงทุนข้ามชาติ เช่น ไทยไปสหรัฐฯ หรือสหรัฐฯมาไทย ก็ต้องการตัวกลางที่มีความเข้มแข็ง มีความรอบรู้ทุกๆเรื่องในแง่ของการเงิน ฉะนั้น สถาบันการเงินไม่ว่าจะเป็น Citibank และ J.P. Morgan มีใบอนุญาตครบ โดยตนได้ไปพบปะกับผู้ที่เป็นเบอร์หนึ่งเรื่องธุรกรรมการเงินของโลก ก็ยืนยันว่า J.P. Morgan มีไลเซนส์ครบ แต่การทำงานยังไม่ขยายใหญ่ที่สุดเท่าไหร่ ซึ่งท่านก็บอกว่าจะไปดูให้ว่าสามารถทำอะไรได้ต่อ ส่วนซิตี้แบงก์ที่มีความสัมพันธ์กับไทยมายาวนานก็จะกลับไปดูด้วยว่าจะสนับสนุนตรงไหนได้บ้าง ส่วน Goldman Sachs เองก็ไม่เคยตั้งบริษัทในไทยเลย เป็นแค่บริษัทเล็กๆ แต่ส่วนมากดำเนินการมาจากสิงคโปร์เป็นหลักได้พูดคุยกัน ผู้บริหารยืนยันว่าหากมีการลงทุนข้ามชาติเกิดขึ้นเยอะก็คุ้มค่าที่ในอนาคตจะมาตั้งสำนักงานที่ประเทศไทย ส่วนการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ช่วงเดือน พ.ย.ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา จะนัดหมายกับบริษัทอีกหลายบริษัท และจะเปิดให้บริษัทนักธุรกิจไทยที่ประสงค์จะไปเปิดประตูการค้ากับต่างประเทศไปพบปะกับบริษัทใหญ่ๆของสหรัฐฯ โดยอาจเชิญบริษัทขนาดกลาง เพื่อเปิดโอกาสได้ไปเสนอตัว ไม่ว่าการลงทุนข้ามชาติที่เราไปลงทุน หรือเขามาลงทุนในประเทศเรา เพื่อเปิดช่องทางสร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชน

ยันไม่กังวลเม็ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ส่วนความคืบหน้าเร่งดำเนินการนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เดี๋ยวคงมีการรายงานเข้ามา เมื่อถามว่ามีเสียงสะท้อนให้เพิ่มรัศมีพื้นที่การใช้เป็นระดับจังหวัด นายกฯกล่าวว่า ถือเป็นข้อเป็นห่วงใยที่ต้องนำมาพิจารณา แต่ถ้ากำหนดให้ใช้ในจังหวัด บางทีการใช้จ่ายจะกระจุกตัวอยู่ในอำเภอเมือง อยากจะให้อำเภอที่กันดารได้มีโอกาสแจ้งเกิดบ้าง คณะกรรมการกำลังพิจารณากันในรายละเอียด ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อถามว่า ณ เวลานี้ ไม่มีข้อกังวลเรื่องเม็ดเงินจริงที่จะใช้ในนโยบายนี้ใช่หรือไม่ นายกฯตอบว่าไม่เคยมีความกังวล

ย้ำไม่ได้พูดตั้ง “ทักษิณ” นั่งที่ปรึกษา

นายเศรษฐายังกล่าวย้ำถึงความชัดเจนกรณีที่มีการตีความการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ ในการตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นที่ปรึกษาว่า ทุกท่านต้องแกะเทปดู ตนไม่ได้บอกว่าจะตั้งใช่ไหม บอกว่าถ้ามีเรื่องอะไร ถ้าจะปรึกษาก็ปรึกษาได้เหมือนกับตนปรึกษากับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายๆท่าน ที่อาจจะเกษียณไปแล้ว หรืออดีตนายกฯ ตนได้ไปกราบนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯมาแล้ว “ผมเป็นนายกฯครั้งแรกและเพิ่งเข้าสู่วงการการเมือง ใครมีความรู้ความสามารถที่ดี พร้อมที่จะปรึกษาพูดแค่นั้นก็แค่นั้น ผมก็พูดแค่นั้น แค่นั้นใช่ไหม บลูมเบิร์กก็แปลแค่นั้นใช่ไหม อย่าตีความไปกว้างกว่านั้นเลย เพราะเรื่องนี้จะก่อให้เกิดประเด็นโดยไม่ใช่เหตุ” เมื่อถามว่า แต่มีการตีความกันไปแบบนั้น นายกฯกล่าวอย่างมีอารมณ์เล็กน้อยว่า “คุณตีความ คุณอย่าตีความสิครับ คุณฟังที่ผมพูดสิครับ เรื่องอื่นมีอะไรไหม” ก่อนเดินทางกลับทันที

อย่าโยงการเมืองสอบ “ทักษิณ” ป่วย

นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มีนายสมชาย แสวงการ สว.เป็นประธาน กมธ. ตั้งเรื่องตรวจสอบฝ่ายเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ รพ.ตำรวจ รวมถึงติดตามดูแลนักโทษในระบบของกรมราชทัณฑ์ว่าเป็นสิทธิของ กมธ. วุฒิสภาที่จะตรวจสอบ แต่หวังว่าสมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้ใหญ่ หลักชัยของบ้านเมืองจะคำนึงถึงการให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย การรักษาตัวนอกเรือนจำของนักโทษ เชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์จะดูแลให้เป็นไปตามความจำเป็นแต่ละรายหรือแต่ละกรณี แม้การตรวจสอบเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ไม่ควรมีประเด็นการเมืองพ่วงไปด้วยโลกพัฒนาไปสู่การอยู่ร่วมกันต่อไป เลยจุดที่จะเอาความหลังค้างเก่าหรือความคิดตกค้างที่อยู่ในใจมาพูด เพราะโอกาสเดินหน้าต่อไปจะลำบากในฐานะสมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้ใหญ่ด้วยกันควรเป็นหลักชัยให้บ้านเมือง คิดถึงนายทักษิณใจแทบขาดยังไปพบไม่ได้เลย

“อู๊ดด้า” ค้าน รบ.ใช้ รธน.40 เป็นตัวตั้ง

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติ และกำหนดแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ของรัฐบาลว่า หลักการเรื่องการไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ทั้งคนและพรรค ปชป.สนับสนุน ล่าสุดได้แสดงจุดยืนในการประชุมรัฐสภาตอนแถลงนโยบายรัฐบาลอีกครั้งชัดเจนแล้ว แต่ต้องทักท้วงไว้เสียแต่ต้นคือ หลักคิดการที่รัฐบาลจะใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นต้นแบบ จึงขอให้คิดให้รอบคอบ เพราะรัฐธรรมนูญปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินไป จนบางยุคทำให้การตรวจสอบรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำรัฐบาลหรือนายกฯทำยากมาก จนทำให้ไม่สามารถตรวจสอบหรืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้เลย ถ้านายกฯตั้งรัฐบาลด้วยเสียงเกินกว่า 3 ใน 5 คือเกินกว่า 300 เสียงขึ้นไป เพราะรัฐธรรมนูญ ปี 40 ระบุว่าจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้ ฝ่ายค้านต้องมีเสียงเกินกว่า 200 เสียงหรือ 2 ใน 5 ขึ้นไปเท่านั้น ทำให้บางยุคไม่สามารถตรวจสอบนายกฯได้เลยตลอดอายุรัฐบาล นำไปสู่การมีรัฐบาลกินรวบดังที่เคยประสบบางยุค เพราะนายกฯอาศัยช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญตั้งรัฐบาลเกิน 300 เสียง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบตั้งแต่ต้น อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 40 ยังให้อำนาจฝ่ายบริหารเข้าไปมีบทบาทสรรหากรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ จนนำไปสู่การใช้ช่องว่างของรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของฝ่ายบริหารเกิดรัฐบาล “กินรวบ” จนต้องแก้ไขในปี 2550

ดักคอ รบ.กินรวบปิดทางตรวจสอบ

นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า ถ้าใช้รัฐธรรมนูญปี 40 มาสวมในสถานการณ์ปัจจุบัน การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯเศรษฐาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เพราะรัฐบาลมีเสียงเกิน 3 ใน 5 นั่นคือมีถึง 314 เสียง ฝ่ายค้านมีไม่ถึง 200 เสียง จะไม่สามารถยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯได้ ถ้านายกฯบริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด ล้มเหลวและเกิดการทุจริตคอร์รัปชันขึ้นมาในอนาคต จะเท่ากับพาประเทศย้อนยุคกลับไปสู่ปัญหาเดิมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต จึงควรคิดกันให้รอบคอบ “ที่พูดนี้ไม่ได้แปลว่าจะตั้งธงอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯแล้ว ขอพูดเสียก่อนเลยว่าไม่เกี่ยวกันและยังไม่ใช่เวลา เพราะรัฐบาลเพิ่งเริ่มต้น เพียงแต่ต้องการทักท้วงไว้เพราะรัฐธรรมนูญ เป็นกติกาสำคัญของประเทศ หากแก้แล้วต้องใช้ต่อไปในอนาคต จะได้ไม่พาประเทศย้อนยุคกลับไปสู่ปัญหาที่เคยเกิดในอดีตที่เราไม่อยากเห็นอีก” นายจุรินทร์กล่าว

ท้าพิสูจน์จริงใจ ไม่ควรตั้งท่านาน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า พรรค ปชป.มีจุดยืนชัดว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นพรรคพร้อมสนับสนุน แต่ต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และหมวด 2 ที่สำคัญการนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญมาประกอบในขั้นตอนกระบวนการต่างๆ สำคัญเช่นกัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สำเร็จ การตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติของรัฐบาล โดยหลักถือว่าเป็นจุดตั้งต้นที่ดี แต่ต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริง โดยจะต้องไม่พิจารณาล่าช้าเกินสมควรไม่ควรตั้งท่านานจนเกินไป และการเตรียมการเพื่อจะนำไปสู่การจัดทำประชามติมีจำเป็นต้องมีความละเอียดรอบคอบ รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

พร้อมหนุนแก้ รธน.เป็น ปชต.ยิ่งขึ้น

นายราเมศกล่าวว่า ในสภาฯชุดที่ผ่านมา ได้มีร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 6 ฉบับโดยพรรคปชป. คือร่างฉบับที่ 1 แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชน สิทธิผู้บริโภค สิทธิในที่ดินทำกิน ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บรรจุเรื่องสิทธิของประชาชน ลดน้อยถอยลงไปมาก ร่างฉบับที่ 2 ตัดอำนาจ สว.ในการแก้รัฐธรรมนูญ ร่างฉบับที่ 3 เพิ่มความเข้มข้นในกระบวนการตรวจสอบการทุจริต ร่างฉบับที่ 4 แก้ไขที่มาของนายกฯ และยกเลิกอำนาจ สว.ในการเลือกนายกฯ ร่างฉบับที่ 5 กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และร่างฉบับที่ 6 แก้ไขระบบเลือกตั้ง ร่างเดียวที่ผ่านความเห็นชอบการพิจารณาจากรัฐสภา พรรคพร้อมร่วมมือแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

ก.ก.คึกจัดงาน “ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน”

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” เป็นการเปิดตัวนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ และเชิญสมาชิกพรรคทั่วประเทศมารับฟังยุทธศาสตร์พรรคก้าวไกลหลังจากนี้ เพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน มี สส.พรรคก้าวไกล แกนนำคณะก้าวหน้า และสมาชิกพรรค สวมเสื้อสีส้มทยอยมาร่วมงานจำนวนมาก โดยบริเวณรอบนอกอาคารมีร้านค้าขายสินค้า ของที่ระลึก เช่น หมวก ร่มให้ผู้ที่สนใจ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มี สส.ก้าวไกลร่วมถ่ายรูปกับสมาชิกอย่างเป็นกันเอง

โชว์ 5 ข้อเปลี่ยนแปลงประเทศ

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ก.ก.กล่าวในเวที “ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” ตอนหนึ่งว่า ตื่นเต้นที่มายืนบนเวทีวันนี้ ได้รับมอบหมายให้มานำเสนอแผนการทำงานของพรรคในสภาฯ ต่อหน้าสมาชิกทั่วประเทศกว่า 7 หมื่นคน หากให้สรุป 1 ประโยค การเดินทางพรรค ก.ก. ตลอด 4 ปี คือการคิดและทำในสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าเราทำได้ เราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพรรค ก.ก.เป็นพรรคที่ชนะเลือกตั้งอันดับ 1 ของประเทศ หวังว่า 4 ปีข้างหน้าจะเป็น 4 ปีที่เราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านก็เปลี่ยนแปลงประเทศได้ โดยมีกลไกการทลายมายาคติ 5 ประเด็น คือ 1.การผลักดันชุดกฎหมายเปลี่ยนประเทศ ผ่านกลไกสภาฯ เป้าหมายคือสร้างความเปลี่ยนแปลงใน 2 สมรภูมิ คือ สมรภูมิทางกฎหมาย และสมรภูมิความคิด แม้จะแพ้โหวตในสภาฯ แต่จะเพิ่มแนวร่วมที่เห็นด้วยในการผลักดันกฎหมายต่างๆต่อไปได้ 2.ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกกรรมาธิการ 3.ผลักดันข้อบังคับสภาฯก้าวหน้า ยกระดับสภาฯ 4.การพัฒนาเป็นฝ่ายค้านสร้างสรรค์ มีข้อเสนอสำหรับทุกปัญหา 5.เพิ่มบทบาท สส.ทุกคนให้เป็นแชมเปียนในเชิงประเด็น แบ่งการทำงานสส.บัญชีรายชื่อและ สส.เขต เป็น 15 กลุ่ม ตามรายประเด็น

ลั่นไม่เป็นฝ่ายค้านตลอดชีวิต

นายพริษฐ์กล่าวว่า บางคนอาจมองฝ่ายค้านด้วยการดูแคลน แต่สำหรับตน ฝ่ายค้านเป็นบทบาทที่ขาดไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย เพื่อตรวจสอบและเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน แต่ไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลตั้งเป้าเป็นฝ่ายค้านตลอดชีวิต อยากให้พวกเราภูมิใจที่เป็นฝ่ายค้านที่แบกความหวังประชาชนทั้ง 14 ล้านคนทั่วประเทศ หากใช้ทุกเวลา 4 ปีในสภาฯอย่างคุ้มค่า จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้แน่นอน

“ช่อ” ประกาศสู้ต่อจนกว่าจะชนะ

จากนั้นมีกิจกรรมเสวนาหัวข้อ “ตื่นเถิดประเทศ ไทย” โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกคณะก้าวไกลที่เพิ่งถูกศาลตัดสินตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาร่วมกิจกรรมเสวนา โดยสวมชุดสีดำขึ้นกล่าวเสวนาตอนหนึ่งว่าที่มาอยู่ตรงนี้ในวันนี้ เพื่อบอกให้ใครบางคนที่เบื่อตนเองว่า “ให้เบื่อแล้ว เบื่ออยู่ และเบื่อต่อไป เพราะดิฉันจะอยู่ตรงนี้ จะสู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ” ตอนที่เข้ามาทำงานการเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ พ่อแม่บอกกับตนว่า ช่อทำงานการเมืองทำได้ แต่อย่าไปเป็นโฆษกมันหนัก เพราะทำดีเสมอตัว ทำชั่วโดนด่าแทนพรรค แต่สรุปพรรณิการ์ วานิช เข้ามาทำงานการเมืองในตำแหน่งโฆษกพรรค วันนั้นของอนาคตใหม่มาจนถึงวันนี้ บอกว่าการเป็นโฆษกพรรคเหนื่อยจริงๆ เป็นพรรคที่ต้องสู้กับผู้มีอำนาจ แบกรับความคาดหวังผู้คนที่เป็นผู้สนับสนุน ต้องตอบทุกคำถาม ต้องเผชิญหน้า ถือเป็นตำแหน่งที่รับบทหนักมากจริงๆ ในการทำงาน

“ต๋อม” ชู 4 ยุทธศาสตร์ 1 ภารกิจพิเศษ

จากนั้นนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ก.ก.กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่ามายืนตรงนี้แทนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่สิ่งที่อยากประกาศกับทุกคนในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ เรื่องแรกจะประกาศว่าแม้หัวหน้าพรรคจะเปลี่ยนไป แต่ว่าที่นายกฯ ของพรรค ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นนายพิธาคนเดิม เป้าหมายสำคัญของพรรคเราต้องผลักดันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่การเมืองชนชั้นนำบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็นสิ่งที่สังคมไทยปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไป พรรค ก.ก.มียุทธศาสตร์สำคัญ 4 ด้านและ 1 ภารกิจพิเศษ

ตรวจสอบเข้มดุดัน แต่สุขุมสุภาพ

นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า ยกตัวอย่าง ยุทธศาสตร์สร้างพรรค ก.ก. ให้เข้มแข็งเป็นสถาบันการเมืองของประชาชน ช่วยกันเปลี่ยนแปลงวันละเล็กวันละน้อย เป็นพรรคที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง เมื่อช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง ยุทธศาสตร์ฝ่ายค้านในสภาฯ ตนหัวหน้าพรรค ก.ก.คนใหม่ ขอให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร ดุดันด้วยเนื้อหา ท่วงทำนองสุขุมและสุภาพ รวมถึงยุทธศาสตร์ฝ่ายค้านเชิงรุก ขออนุญาตให้นายพิธามาอธิบายเรื่องนี้ในภายหลัง

เปิดแนวรุก ส.ส.ร.เลือกตั้งตรงหมด

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ มียุทธศาสตร์ตรึงพื้นที่เก่า รุกพื้นที่ใหม่ ในพื้นที่เก่า เราทำงานไม่เหมือนใคร และอธิบายให้ทุกคนทราบว่า เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ส่วนพื้นที่ที่ไม่ชนะการเลือกตั้งขอเชิญชวนทุกคนทำพรรคเข้มแข็ง และเฟ้นหาคนที่จะมาเป็น สส.ของเราด้วย ส่วนภารกิจพิเศษสุดท้ายเรามาร่วมผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มาจากประชาชน ขอให้ทุกคนร่วมรณรงค์เรียกร้องให้มีประชามติ เพื่อถามว่าจะต้องการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ แล้วต้องทำโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด ไม่ต้องกั๊ก ไม่ต้องมีข้อยกเว้น เพราะประชาชนมีอำนาจสูงสุด

ปลุกก้าวต่อไป เก็บน้ำตาไว้ข้างหลัง

“ที่พูดมาทั้งหมด ทราบดีว่าพวกเราเสียใจ หลายคนสิ้นหวัง หลายคนเสียน้ำตา เราชนะเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ สิ่งที่อยากจะบอกคือนับจากนี้ต่อไป ขอให้เราเอาน้ำตาไว้ข้างหลัง เอาความเสียใจไว้ข้างหลัง ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกต่อไป ลองนึกถึงสังคมการเมืองไทย ก่อนจะมีอนาคตใหม่ มีก้าวไกล วันนี้พวกเราช่วยเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดไหน ไม่มีอะไรต้องเสียใจ มีเพียงอย่างเดียวต้องเดินหน้าจับมือร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้มากกว่านี้ มาทำให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันเดินหน้าร่วมกันก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน” นายชัยธวัชกล่าว

“ทิม” ตั้งเป้าครั้งหน้ากวาด 300 เสียง

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า แม้บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่อยู่ ต้องลาออก ต้องโดนตัดสิทธิ ย้ายพรรค แต่แกนและหัวใจสำคัญยังอยู่ เราคือสายธารแห่งความหวัง สายธารแห่งความเป็นไปได้ สายธารของศรัทธา ใครที่เข้าใจผิดว่าหัวหน้าพรรคเป็นแค่หัวหน้าพรรคขัดตาทัพเข้าใจผิดมหันต์ ผู้นำชุดนี้คือตัวจริงเสียงจริงของฝ่ายประชาธิปไตย ท่านรักพิธาอย่างไร ต้องรักชัยธวัชอย่างนั้น เป้าหมายของเราฝ่ายค้านเชิงรุก เมื่อวานนักข่าวต่างประเทศถามว่าพรรค ก.ก.จะเอาอย่างไรต่อ ชนะแล้วปกครองไม่ได้ บริหารไม่ได้ จึงตอบว่าก็ชนะให้มันมากขึ้น เลือกตั้งครั้งแรกได้มา 80 ที่นั่ง โดนยุบพรรค โดนบดขยี้ไปเหลืออยู่ 50 ที่นั่ง ตนนำเลือกตั้งในนามพรรค ก.ก.ครั้งแรกได้มา 151 ที่นั่ง เทียบบัญญัติไตรยางค์ แล้วเลือกตั้งครั้งต่อไปจะเป็นเท่าไร เมื่อความฝันมันมีเป้าหมายชนะเลือกตั้งขนาดนั้น ไม่ได้ปกครองให้มันรู้ไป ขออนุมานว่าพี่น้องเห็นด้วยกับเป้าหมายและความฝันในการทำงานทางการเมืองของพวกเรา ดังนั้น 300 เสียงไปเลย

โอ่ฐานสมาชิกอันดับ 1 ในเมืองไทย

นายพิธากล่าวอีกว่า พรรค ก.ก.จะเป็นฝ่ายค้านที่จะสะสมชัยชนะไปเรื่อยๆ จนเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดของคนไทย มีองค์ประกอบคือขยับและขยาย 1.เราพร้อมแข่งทุกสนามเลือกตั้ง 4 ปี 4 สนามใหญ่เจอก้าวไกลทั่วประเทศแน่นอน ปีที่ 1 อบจ. ปีที่ 2 เทศบาล ปีที่ 3 ผู้ว่าฯ กทม. ปีที่ 4 เลือกตั้งใหญ่เดี๋ยวเจอกัน แข่งเสร็จไม่พอเราต้องขยับด้วย ตอนนี้เรามีทั้ง สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ ท้องถิ่น มีส้มจี๊ด มีศูนย์นโยบายเพื่ออนาคตพรรค ก.ก. เวลาขยับไม่ขยับคนเดียว แต่ขยับเป็นองคาพยพไม่สะเทือนให้มันรู้ไป เมื่อเราแข่งจนชนะเลือกตั้ง และขยับทุกองคาพยพให้ขยายไป สุดท้ายเราต้องขยายฐานสมาชิกที่ตอนนี้มีอยู่ 8 หมื่นกว่าคน เพิ่มขึ้นเดือนละหมื่นๆ ปีใหม่นี้เผลอๆพรรค ก.ก.จะขยายฐานสมาชิกมากเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อย่าลืมสิ่งที่พวกเราได้ทำร่วมกันมา เราชนะในกติกาที่เขาเขียน เราชนะในช่วงที่ไม่คิดว่าจะชนะได้ เปลี่ยนความผิดหวังเป็นพลัง ต้องผลักดันต่อไปจนถึงเส้นชัยร่วมกัน ก้าวให้ไกลต้องก้าวด้วยกัน เพื่อที่จะก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน

“วิษณุ” ไม่นั่ง กก.รื้อ รธน.ให้คำปรึกษาได้

เมื่อเวลา 13.30 น. นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ อยากทาบทามให้ร่วมคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติว่า ขอบพระคุณมากที่ยังนึกถึง เป็นงานใหญ่ ใช้เวลาและยุ่งยาก ข้อสำคัญอยู่กับความเห็นที่แตกต่าง อาจเกิดความขัดแย้ง เมื่อพ้นออกมาจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ควรหวนกลับไปเป็นบุคคลสาธารณะอีก เพราะการไปทำงานนี้คือบุคคลสาธารณะอย่างยิ่ง ทุกวันนี้สบายอกสบายใจอยู่แล้ว แต่หากมาขอคำแนะนำเป็นครั้งคราวด้วยความยินดี ที่ผ่านมามีอยู่บ้าง โดยเฉพาะรัฐมนตรีหน้าเก่าๆคุ้นเคยกันในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ และ รมว.กลาโหม โทร.มาถามแบบที่สื่อสอบถามว่าสมัยนั้นสมัยนี้เป็นอย่างไร แต่ไม่ถามว่าควรจะอย่างไร เพราะตัดสินใจเองได้ มติ ครม.เก่าๆมีคนโทร.มาถามบ่อยๆทุกวัน

แนะแก้รายมาตรา ปมยุ่งยากเว้นไว้

นายวิษณุกล่าวอีกว่า ส่วนโครงสร้างแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรตอบไม่ถูก ให้เขาคิดกันเอง เพราะยุ่งยากซับซ้อน แต่ข้อสำคัญควรหลบหลีกการทำประชามติหลายครั้ง เห็นด้วยกับแก้ไขเป็นรายมาตรา ทีละหลายๆมาตราก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญห้ามไว้แต่เพียงกรณีเป็นการแก้ไขหมวด 1 ทั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ ส่วนหมวด 15 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการแก้ไขอำนาจและหน้าที่องค์กรอิสระ และการแก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามองค์กรอิสระ เมื่อแก้เสร็จวาระ 1 วาระ 2 และวาระ 3 ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯให้ไปทำประชามติ การแก้ที่ควรต้องทำคือถ้าสมมติต้องการแก้องค์กรอิสระไปกระทบคุณสมบัติและอำนาจหน้าที่องค์กรอิสระ ตรงนี้ต้องทำประชามติ ฉะนั้นเก็บไว้ทำทีหลังได้ไหม ตอนนี้อยากแก้ไปก่อนก็แก้หมวด 3 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพประชาชนต้องการ หมวด 4 หน้าที่ปวงชนชาวไทย หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ หมวด 7 รัฐสภา แก้ได้ตามใจชอบไม่ต้องทำประชามติ หมวด 8 ครม. หมวด 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ หมวด 10 ศาล หมวด 11 องค์กรอิสระ เรื่องเหล่านี้แก้ได้หมด แต่พอไปถึงองค์กรอิสระ ถ้าเป็นอำนาจหน้าที่และคุณสมบัติต้องห้าม จะไปเจอการทำประชามติอย่าเพิ่งไปทำ

ชี้ช่องแก้ ม.256 ลดทำประชามติ

เมื่อถามว่า การทำประชามติควรทำครั้งเดียวตอนเสร็จแล้วใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ที่จริงต้องทำประชามติเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 บัญญัติไว้ ถ้าแก้มาตรา 256 ว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ต้องทำประชามติมันก็ไม่ต้องทำประชามติ แต่การจะแก้มาตรา 256 หนแรก ต้องทำประชามติเสียทีหนึ่งก่อน เพื่อจะลบล้างเรื่องประชามติไปได้ เมื่อถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ 3-4 ครั้งใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ต้องแก้มาตรา 256 ก่อน พอแก้มาตรา 256 แล้วและผ่านการพิจารณาของรัฐสภาวาระ 1 วาระ 2 และวาระ 3 นำขึ้นทูลเกล้าฯได้แล้ว ไม่ต้องเจอแล้วเรื่องทำประชามติอีก แต่ถ้าแก้ตามแนวทางของรัฐบาล ต้องทำประชามติหลายครั้ง คือ 1.แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่าเห็นด้วยหรือไม่ 2.ต้องไปเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และ 3.เมื่อ ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ต้องไปทำประชามติทั้งประเทศอีกครั้งหนึ่งประมาณ 3 พันล้านบาท ฉะนั้นแก้ที่มาตรา 256 แต่ถ้าพูดกันไม่ดีอาจไม่ผ่าน เพราะต้องผ่านความเห็น สว. เขากลัวว่าจะไปแก้อะไรต่อมิอะไรกัน อย่างน้อยการทำประชามติควรทำ 2 ครั้งก็ยังดี คือต้องเริ่มแก้ไขและตอนจบที่จะไปประกาศใช้

ทบ.รอผลสอบน้ำมัน 2 แสนลิตรหาย

ช่วงดึกวันที่ 23 ก.ย. พล.ต.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าจากกรณีมีการเผยแพร่เอกสารการตรวจสอบการเบิกจ่ายน้ำมันของหน่วยทหารพื้นที่สระบุรี ระบุว่าอาจมีการสูญหายเป็นจำนวนหนึ่ง ข้อเท็จจริงเกิดจากที่ผ่านมาเมื่อปี 2565 ทบ.ได้ส่งชุดตรวจพิเศษการส่งกำลัง โดยกรมจเรทหารบกไปตรวจสอบการเบิกจ่ายเก็บรักษาสิ่งอุปกรณ์สำคัญทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง ชุดตรวจพิเศษได้เข้าตรวจสอบระบบการเบิกจ่ายและเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยในพื้นที่ จ.สระบุรี พบข้อสังเกตการเบิกจ่ายน้ำมัน จึงรายงานให้ ทบ.ทราบ ต่อมาเมื่อ มิ.ย.66 ทบ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยเจ้ากรมจเรทหารบกเป็นประธาน เพื่อตรวจสอบรายละเอียดซ้ำอีกครั้ง ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการ ยังไม่ได้สรุปผล หากผลสอบสวนปรากฏมีผู้ที่ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบทางราชการ จะเสนอให้พิจารณาลงโทษต่อไป เมื่อ ทบ.ได้รับรายงานว่าอาจมีความไม่เรียบร้อย ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทันที พร้อมกำชับหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งสอบสวนด้วยความรอบคอบกรณีนี้ ทบ.ให้ความสำคัญตรวจสอบทุกข้อมูลข้อเท็จจริง และจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ

เสื้อเหลืองไล่ “ทักษิณ” กลับเข้าคุก

เมื่อเวลา 15.00 น. ที่หน้า รพ.ตำรวจ ฝั่งศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สี่แยกราชประสงค์ เครือข่ายต่อต้านระบอบทักษิณในนาม “นักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” หรือ คปท. นำโดยนายพิชิต ไชยมงคล และนายนัสเซอร์ ยีหมะ นัดแนวร่วมจัดชุมนุม “เยี่ยม น.ช.ทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ” ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์นำผ้าดิบมากางให้มวลชนร่วมเขียนข้อความแทนสมุดเยี่ยม เรียกร้องให้นายทักษิณรีบกลับไปรับโทษในคุก พร้อมชูป้ายข้อความเรียกร้องต่างๆ และนำกรงขังจำลองที่มีสแตนดี้ บุคคลใบหน้าเหลี่ยมคล้าย น.ช.ทักษิณมาวางไว้ด้านใน

ฉะละครคนไข้ยุติธรรมต้องเท่าเทียม

จากนั้นนายพิชิตอ่านแถลงการณ์ “หยุด ละครคนไข้ กระบวนการยุติธรรมไทยต้องเท่าเทียม” ใจความระบุว่า เป็นเวลา 34 วันที่ น.ช.ทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนระบบยุติธรรมไทยที่มีเรือนจำเป็นที่ควบคุมผู้กระทำผิด ให้มีความหมายเพียง รพ.ตำรวจเป็นที่ฟอกขาวความยุติธรรม ประชาชนชาวไทย ที่ติดตามทวงถามความเป็นธรรมที่ลำเอียง การป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงละครที่เขียนบทกันมาก่อนเดินทางเข้ามาไทย การป่วยจึงเป็นการอ้างสิทธิ์ที่ผู้ต้องขังอื่นยากที่จะเข้าถึงได้ การเลือกปฏิบัติเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องขังเด็ดขาดจะนำมาซึ่งการไร้บรรทัดฐานในการปฏิบัติ จะก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมและสร้างความแตกแยกของคนในชาติขึ้นได้ในอนาคต ขอเรียกร้องประชาชนทุกคน ได้ร่วมกันทวงถามความยุติธรรมด้วยการแสดงออกในทุกมิติทั้งในโลกโซเชียลและการปฏิบัติจริง สื่อสารว่าเราไม่เห็นด้วยกับการให้อภิสิทธิ์แก่ผู้ต้องขังเด็ดขาด ให้มีสิทธิ์เหนือความยุติธรรมไทย