“ศิริกัญญา” ติง “เศรษฐา” เพิ่งสัญญากลางสภาไม่ก่อหนี้เพิ่ม แต่มติ ครม.นัดแรก อนุมัติกู้เพิ่ม 1 แสนล้าน ทำหนี้สาธารณะพุ่งแตะ 64% คาดรองรับดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แนะลดพูดถึงวินัยการคลังสักพัก เพราะอาจทำไม่ได้

วันที่ 14 กันยายน 2566 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นกรณีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 อนุมัติกู้เงินเพิ่มในปีงบประมาณ 2567 เพื่อชดเชยขาดดุลเพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท ทำให้ประมาณการหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 64% ของ GDP ว่า นายเศรษฐา เพิ่งให้สัญญาผ่านการกล่าวปิดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อคืนวันที่ 12 กันยายน ว่า รัฐบาลทราบดีและให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการบริหารงบประมาณสำหรับทุกนโยบายอย่างมีความระมัดระวัง ไม่ให้กระทบสัดส่วนหนี้สาธารณะที่ 63% สูงขึ้นไปอีกโดยไม่มีเหตุอันควร 

ขณะที่มติ ครม.นัดแรก มีการเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2567-2570) เพื่อนำไปประกอบการจัดทำกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 โดยในการปรับปรุงแผนการคลังใหม่นี้ พบว่ากรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี จากเดิมเมื่อต้นปีอยู่ที่ 3.35 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 3.48 ล้านล้านบาท เพิ่ม 1.3 แสนล้านบาท 

แต่ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ 2567 ไว้ที่ 2.787 ล้านล้านบาท มากกว่าที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา โดยประเมินไว้ที่ 2.757 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 30,000 ล้านบาท เท่ากับว่าต้องกู้เพื่อชดเชยขาดดุลไป 6.93 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ 5.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64% ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ 63% ของ GDP

...

น.ส.ศิริกัญญา ระบุต่อไปว่า การประมาณการครั้งนี้ แม้หนี้สาธารณะจะไม่ถึงกรอบที่ตั้งไว้ที่ 70% แต่มีข้อสังเกตน่าสนใจหลายประการ คือ 

1. งบประมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.3 แสนล้านบาท คาดว่าน่าจะขยายขึ้นมาเพื่อรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แต่ก็ยังไม่น่าพอสำหรับวงเงิน 560,000 ล้านบาท 

2. ประมาณการรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 30,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลเคยบอกว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้จัดเก็บภาษีเพิ่มได้ 1 แสนล้านบาท 

3. ขยายการกู้ชดเชยขาดดุลไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ในขณะที่ปีที่แล้วยังเจอกับผลกระทบโควิด จากที่จะกู้เพิ่ม 3% ของ GDP ก็เพิ่มเป็น 3.63% และจากที่จะทยอยลดลงจนเหลือ 2.79% ในปี 2570 กลับคงไว้ในระดับสูงที่ 3.36% 

4. ประมาณการว่า GDP จะโตระหว่าง 3.2-3.3% ระหว่าง ปี 2567-2571 เฉลี่ยไม่มีทางถึง 5% ตามที่ได้เคยหาเสียง

“เห็นได้ว่ารัฐบาลค่อนข้างมือเติบและตั้งงบเพิ่มขึ้นมาก โดยวิธีการกู้มาโปะเพิ่มถึงแสนล้านบาท เพื่อมาใช้จ่ายในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 64% ในปีหน้า นายกรัฐมนตรีอาจจะต้องลดการพูดถึงวินัยการคลังไปสักพักก่อน เพราะอาจจะทำไม่ได้อย่างที่พูด และถ้าเป็นแบบนี้ เป้าหมายที่เพื่อไทยเคยตั้งว่าจะทำงบประมาณสมดุลใน 7 ปีข้างหน้า ก็ไม่น่าจะเป็นจริง”