อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงข้าวใหม่ ปลามัน นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ประกาศนโยบายใหม่ๆเป็นรายวัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เน้นว่าข้าราชการเป็นภาคส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนประเทศ ทำงานมาตลอดชีวิต อยากได้ความก้าวหน้าด้วยผลงาน

ไม่ใช่ก้าวหน้าด้วยการซื้อตำแหน่ง รัฐมนตรีต้องไม่มีการซื้อขาย ตำแหน่ง เมื่อพูดถึงการซื้อขายตำแหน่งราชการ คนส่วนใหญ่มักจะเพ่งเล็งไปที่หน่วยราชการบางหน่วย เพราะมีข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายตำแหน่งมาก แต่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ยังระบุชื่อ

การซื้อขายตำแหน่งในวงราชการ สร้างความเสียหายให้แก่หน่วยงาน และเสียหายต่อประเทศชาติแน่นอน แต่การซื้อตำแหน่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายมากที่สุด น่าจะได้แก่ “การซื้อเสียง” ของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่เริ่มต้นจากการซื้อเสียงของผู้สมัคร สส. ลุกลามซื้อขายทุกตำแหน่งที่มีเลือกตั้ง

นายกรัฐมนตรีมาจากวงการธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ เพิ่งจะเข้าสู่การเมืองไม่นาน แม้จะเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค มีหน้าที่ออกไปพบปะพูดคุย และปราศรัยต่อประชาชน ไม่ได้สัมผัสกับหัวคะแนนหาเสียง

นายกรัฐมนตรีจึงอาจไม่รู้ นักการเมืองหรือพรรคการเมืองซื้อเสียงกันอย่างไร การซื้อเสียงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ขอแต่เพียงมีเงิน เลขาธิการ กกต. บอกว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาจังหวัดไม่มีการร้องเรียน ต่างจากอดีตที่มีเรื่องร้องเรียนนับพันเรื่อง ส่วนใหญ่คือซื้อเสียง

การซื้อเสียงเลือกตั้ง นอกจากจะเป็นการมอมเมาประชาชนให้จมอยู่ในการเมืองนํ้าเน่า ทำให้ประชาธิปไตยก้าวถอยหลัง ยังเป็นที่มาของการทุจริตนักการเมืองที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อเสียงจะต้องถอนทุนด้วยการใช้อำนาจหน้าที่ “ถอนทุน” พร้อมทั้งดอกเบี้ย จากเงินของรัฐที่มาจากภาษีประชาชน

...

การซื้อเสียงเป็น “อนันตริยกรรม” เป็นบาปหนักทางการเมือง เพราะเป็นการซื้ออำนาจ เป็นการกระทำผิดกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ อาจถือได้ว่าเป็นการล้มล้างระบอบ ประชาธิปไตย เป็นความผิดกฎหมายเลือกตั้ง มีโทษจำคุก 1 ถึง 10 ปี เพิกถอนสิทธิ 20 ปี และอาจมีการยุบพรรค.

คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม