นิด้าโพลไปถามชาวบ้านถึง นโยบายรัฐบาลเพื่อไทย ที่สัญญาเอาไว้เป็นนโยบายในการหาเสียง ชาวบ้านอยากได้เรียงตามลำดับดังนี้ อันดับ 1 พักหนี้เกษตรกร 3 ปี ทั้งต้นทั้งดอกทันที อันดับ 2 ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่น้อยกว่า 20,000 บาท อันดับ 3 กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท อันดับ 4 เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน อันดับ 5 จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน อันดับ 6 มีโรงพยาบาลประจำใน กทม.ทั้ง 50 เขต อันดับ 7 ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน อันดับ 8 เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดนำร่อง อันดับ 9 รถไฟฟ้าใน กทม. 20 บาทตลอดสาย และอันดับ 10 แก้ไขกฎหมายยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่เมื่อถามว่ามั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำได้แค่ไหน คำตอบส่วนใหญ่เชื่อว่าทำได้ไม่ถึงร้อยละ 50 ยกเว้นเรื่อง การพักหนี้เกษตรกร กระเป๋าเงินดิจิทัล การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และ โรงพยาบาล 50 เขตใน กทม. ซึ่งพอจะถอดสัญญาณได้ว่าชาวบ้านสนใจเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องค่าครองชีพมากกว่าการบ้านการเมือง โดยเฉพาะ เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ให้ความสนใจน้อยมาก ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายกับค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท คนก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจะทำได้
สรุปเอาเป็นว่าประชาธิปไตยของเมืองไทย ต้องกินได้ด้วย ถ้ากินไม่ได้ ประชาชนอดอยากปากแห้ง ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่คนไทยต้องการ เพราะคนไทยเคยชินกับ ระบอบประชาธิปไตยที่กินได้ ตั้งแต่การลงคะแนนเลือกตั้ง บนสภาพเศรษฐกิจข้าวสารกรอกหม้อ ไม่แข็งแรงพอที่จะเลือกอะไรได้มากกว่าปากท้อง
อย่างไรก็ตาม ที่ รัฐบาลเพื่อไทย สัญญาว่าจะทำทันทีก็ต้องทำให้ชาวบ้านได้เห็นถึงความจริงใจ จับตา การแถลงนโยบายต่อสภา จะมีนโยบายที่ไปหาเสียงไว้กับชาวบ้าน ถูกบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาลเอาไว้มากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญคือต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้วย
...
ปัญหาเฉพาะหน้า ราคาน้ำมัน ที่ล้ำหน้าไปไกลมาก กองทุนน้ำมัน ที่รับภาระราคาน้ำมันในปัจจุบันติดลบอยู่บานตะไท รัฐบาลต้องเคลียร์ปัญหานี้ให้จบก่อนที่จะปรับโครงสร้างราคาน้ำมันกันใหม่ เช่น กระทรวงการคลัง มีการเก็บภาษีน้ำมันดีเซลบวกภาษีท้องถิ่นเฉลี่ยลิตรละ 6 บาทกว่า หลังจากหมดโปรโมชันเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ราคาดีเซลขายปลีก จากลิตรละ 31.94 บาทจะแพงขึ้นอีกแค่ไหน และจะใช้วิธีการลดการจัดเก็บภาษีได้หรือไม่ เป็นการบ้านที่จะต้องคุยกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลจะตัดสินใจโดยพลการไม่ได้
ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบัน ยังติดลบอยู่ที่ 55,091 ล้านบาท
ส่วนใหญ่จะเป็นบัญชีก๊าซ LPG ที่ติดลบมากกว่าบัญชีน้ำมัน ซึ่งขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้วย ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนค่าไฟฟ้าจะต้องมีการปรับโครงสร้างราคาให้เหมาะสมโดยแยกเป็นไฟฟ้าครัวเรือนและไฟฟ้าอุตสาหกรรม ค่าไฟฟ้าครัวเรือนที่คาดว่าจะลดลงมาทันทีได้หน่วยละ 1.50-2.50 สตางค์ต่อหน่วยจะกระทบกับภาระหนี้สินค่าไฟที่ กฟผ.แบกรับอยู่อีกแสนกว่าล้านจะหาทางออกจากจุดนี้อย่างไร ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
ปัญหาจะกลายเป็นดินพอกหางหมู.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th
คลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม