คนรักทะเลปลื้ม! ครม.ไฟเขียว "มาตรการคุ้มครองปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ" ป้องกันความเสียหายแนวปะการัง-เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมดูแลให้ทั่วถึง ฝากประชาชนพบเห็นทำผิดแจ้งสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

วันที่ 24 ส.ค. นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (รรท.อทช.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวทางทะเลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่กิจกรรมบางอย่างและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว มีส่วนทำให้บริเวณปะการังซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญเกิดความเสื่อมโทรมทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่น เรือท่องเที่ยวทิ้งสมอลงบนปะการัง นักท่องเที่ยวทิ้งขยะ นักดำน้ำจับหรือยืนเหยียบปะการังขณะดำน้ำ ทำให้ปะการังแตกหักเสียหาย รีสอร์ตหรือโรงแรมระบายน้ำเสียลงสู่ทะเลทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ส่งผลกระทบต่อปะการังในบริเวณนั้น

...

ในการนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งหารือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนกฎหมายคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ พร้อมเดินหน้าเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ กระทั่งในวันนี้ (23 สิงหาคม 2566) นับเป็นข่าวดีในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการังจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ พ.ศ. .... โดยอาศัยความตาม มาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ เพื่อกำหนดมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันความเสียหายที่เกิดกับแนวปะการังอันเกิดจากการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำเป็นการเฉพาะและเพื่อควบคุมกำกับดูแลอย่างทั่วถึง เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีมากขึ้นในขณะที่คนนำเที่ยวมีจำกัดและจากการสำรวจล่าสุดในปี 2565 พบแนวปะการังมีสถานภาพดีกว่าในช่วงปี 2563 - 2564 และมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อย โดยในปี 2565 พบแนวปะการังสถานภาพสมบูรณ์ดีร้อยละ 53 สมบูรณ์ป่านกลางร้อยละ 22 และสถานภาพเสียหายร้อยละ 25 ทั้งนี้มาตรการที่เป็นข้อกำหนดสำคัญสำหรับ (ร่าง) ประกาศดังกล่าว ประกอบด้วย ข้อกำหนดในการประกอบกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ ทั้งการดำน้ำตื้น การดำน้ำลึก และการเรียนดำน้ำลึก ซึ่งแต่ละประเภทของกิจกรรมดังกล่าวต้องมีผู้ควบคุมต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เหมาะสม และข้อกำหนดเพื่อให้เกิดเป็นแนวปฏิบัติที่ดี หรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลในการท่องเที่ยวดำน้ำ เช่น ห้ามเตะ หรือ สัมผัสปะการัง สัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ห้ามดำเนินกิจกรรม SeaWalker หรือ โดยวิธีอื่นใดที่มีลักษณะเป็นเดินหรือเคลื่อนที่บนพื้นทะเล ห้ามผู้ควบคุมหรือผู้ช่วยผู้ควบคุมเคลื่อนย้ายปะการัง สัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ มาให้นักท่องเที่ยวดู ในการใช้ตีนกบ ห้ามมิให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของตีนกบสัมผัสปะการังหรือทำให้ปะการังได้รับความเสียหาย ห้ามให้อาหารปลาหรือสัตว์น้ำ ห้ามไม่ให้ทิ้งขยะหรือปล่อยของเสียทุกชนิดในทะเล และห้ามมิให้ทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง เป็นต้น

นอกจากนี้ นายอภิชัย รรท.อทช. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ระยะเวลาการบังคับใช้มีกำหนด 5 ปี และไม่ใช้บังคับกับกิจกรรมที่มิใช่กิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ เช่น การดำน้ำเพื่อการศึกษาและวิจัยทางวิชาการ การดำน้ำเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งภายใต้การกำกับของหน่วยงานพื้นที่ที่รับผิดชอบ ซึ่งหลังจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะดำเนินการพิจารณาตรวจทานหรือปรับปรุง (ร่าง) ประกาศฯ ก่อนการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนาม อย่างไรก็ตาม หากประกาศฯ ใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ กรม ทช. จะสั่งการให้สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทุกแห่ง เร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวดำน้ำ และกลุ่มเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง เข้าใจถึงกฎ ระเบียบ ในการคุ้มครองทรัพยากรปะการัง

นอกจากนี้ ตนขอฝากถึงพี่น้องประชาชนหากพบเห็นการกระทำผิดดังกล่าวขอให้แจ้งมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อกรม ทช. จะประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ ให้เร่งดำเนินการตรวจสอบทันที และเพิ่มกำลังพลตรวจตราพื้นที่การประกาศใช้กฎหมาย และสร้างเครือข่ายประชาชนให้มีส่วนร่วมและช่วยกันเป็นหูเป็นตาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสริมสร้างความเข้มข้นการเฝ้าระวัง รวมทั้งติดตามและประเมินผล หากยังคงสร้างผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เราคงต้องใช้กฎหมายดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และสุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ผลักดันและสนับสนุนให้ประกาศฯ ฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี พร้อมประกาศใช้ตามกระบวนการ เพื่อปกป้องคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลให้สมบูรณ์และยั่งยืนตลอดไป