“การเมือง”...ที่แบ่งข้างแบ่งขั้วสุดๆ (Polarized) เปลืองพลังไปกับ “ความขัดแย้ง” มาก เหลือพลังสร้างสรรค์น้อยและเคลื่อนไม่ได้ไกล เพราะโดนขั้วตรงข้ามจับสกัดไว้

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกว่า วิธีคิดแยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้วและเป็นปฏิปักษ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่วิธีคิดทางวิทยาศาสตร์ไปเพิ่มให้มากขึ้น เพราะหลักการทางวิทยาศาสตร์เน้นที่การวัดได้แม่นยำและทำซ้ำได้เหมือนเดิม ซึ่งการจะวัดได้แม่นยำก็ต้องจับให้มันนิ่งตายตัว

นายแพทย์ประเวศ วะสี
นายแพทย์ประเวศ วะสี

“ความตายตัวทำให้แยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้ว ฝรั่งตะวันตกจึงคิดแบบนี้อย่างเข้มทำให้ขัดแย้งรุนแรง ลองดูประวัติศาสตร์ยุโรปที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและสงคราม”

พระพุทธองค์สอนเรื่อง “ทางสายกลาง” ที่มองว่าธรรมชาติเป็นอนิจจังไม่ตายตัว เป็นไปตามเหตุตามผลหรือเหตุปัจจัย จึงไม่สุดโต่ง ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้วเป็นทางสายปัญญา ความรักความเมตตา ความร่วมมือ

...

หลักการออกจากวิกฤติ คือ “พลิกวิธีคิด”

“การเมืองไทยติดอยู่ในสภาวะวิกฤติมาตั้ง 100 ปี ทำอย่างไรๆ ก็จะออกจากวิกฤติไม่ได้ ถ้าพลิกวิธีคิดจากการเมืองแบ่งข้างแบ่งขั้ว เป็นการเมืองทางสายกลาง ก็จะก้าวข้ามความแตกแยก เมื่อใดคนไทยก้าวข้ามความแตกแยกได้ จะก้าวไกลสู่อนาคตอันงดงาม เพราะมีทรัพยากรเพื่อการพัฒนามากมายหลายประเภท”

ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2563 จุดพลิกผัน (Tipping point) ทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนับเป็นปีวิกฤติใหญ่ประเทศไทย ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ให้ทัศนะไว้ว่า...เป็นปีที่วิกฤตการณ์ต่างๆจะมาบรรจบกันเป็นวิกฤติใหญ่ประเทศไทย...หนึ่งความยากจนและความเหลื่อมล้ำสุดๆที่แก้ไม่ได้

สอง...วิกฤติเศรษฐกิจ ที่เชื่อมโยงกับความตกต่ำและผกผันของเศรษฐกิจโลก สาม... ความขัดแย้งทางการเมือง สี่... ภัยทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ความแห้งแล้ง ฝุ่นจิ๋วในอากาศ อันแก้ไขไม่ได้

ห้า...ซ้ำเติมด้วยโรคระบาดโคโรนาไวรัส

ทั้งหมดจะผลักดันประเทศไทยไปถึง...“จุดพลิกผัน” พลิกผันเหมือนกระดานหก คือพลิกไปสู่ร้ายสุดๆ เช่น เกิดมิคสัญญีกลียุค หรือพลิกจากร้ายกลายเป็นดีอย่างกะทันหันก็ได้

คนโบราณจึงกล่าวว่า “วิกฤติเป็นโอกาส” คำถามสำคัญมีว่า ทำไม?วิกฤติจึงเป็นโอกาส

ประเวศ ย้ำว่า การที่บ้านเมืองหนึ่งบ้านเมืองใดเดินเข้าไปสู่สภาวะวิกฤติ เพราะเข้าไปสู่ความเชื่อ และความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง หรือไม่มีประโยชน์จริง ที่ทางพระเรียกว่า “สีลัพพตปรามาส”

ความเชื่อผิดๆจะนำไปสู่สภาวะวิกฤติและความรุนแรง เพราะสังคมไม่สามารถถอนจากความคิดเช่นนั้นได้ แต่เมื่อบ้านเมืองวิกฤติจนไม่มีทางไป หรือล่มสลายลงแล้ว สังคมไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นนอกจาก พลิกความคิด...การพลิกความคิดทำให้เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีอย่างกะทันหัน จึงกล่าวว่า “วิกฤติเป็นโอกาส”

ยกตัวอย่าง ญี่ปุ่น และเยอรมนี แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านเมืองย่อยยับทุกๆทางแต่หลังจากนั้นกลับเจริญอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชีย เยอรมนีในยุโรป ทั้งนี้ เกิดจากการ “พลิกความคิด” จากเผด็จการและการก่อสงคราม เป็นประชาธิปไตยและสันติภาพ

ประเทศไทยก็มีตัวอย่างของการพลิกความคิด เช่น เมื่อคำสั่ง 66/2523 ออกมา การสู้รบระหว่างคนไทยด้วยกันในกรณีนักศึกษาปัญญาชนเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จับอาวุธต่อสู้อำนาจรัฐยุติลงทันที

เพราะคำสั่ง 66/2523 คือ การพลิกความคิดว่านักศึกษาปัญญาชนเหล่านั้นไม่ใช่ศัตรูแต่เป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” เมื่อไม่ใช่ศัตรูก็ยุติการสู้รบกัน

ณ จุดพลิกผันประเทศไทย 2563 สังคมไทยจะพลิกความคิดอะไร...จึงจะสามารถเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดีอย่างกะทันหันก็ต้องมาดูว่าความคิดอะไรที่นำประเทศไทยมาสู่จุดวิกฤติเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความเป็นธรรมทางสังคม...ปัญหาเชิงโครงสร้าง...การคิดเชิงอำนาจ นำไปสู่โครงสร้างแห่งความไม่เป็นธรรม

การคิดเชิงอำนาจทำให้ขาดปัญญา และเป็นต้นตอของโครงสร้างแห่งความไม่เป็นธรรม

....“การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าใครชนะก็ไม่สามารถฝ่าโครงสร้างแห่งความไม่เป็นธรรมอันมหึมานี้ได้ หรือถูกดูดเข้าไปอยู่ในโครงสร้างอันไม่เป็นธรรมนั้นเสียด้วย”

ทั้งหมดเหล่านี้เชื่อมโยงกันจะทำให้เราเข้าใจว่าทำไม? นับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา การต่อสู้ทางการเมือง การปฏิวัติรัฐประหาร การเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ตั้ง 20 ฉบับแล้ว ไม่สามารถสร้างความลงตัวให้ประเทศไทย เพราะยังไม่ได้ พลิกความคิด ยังคิดเชิงอำนาจเหมือนเดิม เพียงแต่...ต่อสู้แย่งชิงกันว่าใครได้อำนาจ

พลิกความคิดจากคิดเชิงอำนาจสู่การคิดเชิงปัญญา...คิดด้วยข้อมูล ความรู้ ความจริง ความเป็นเหตุเป็นผล ออกจาก “เข่ง” ให้ได้ด้วยพลัง 5 ประการ หรือ “พละ 5”...พลังจิตสำนึก ถึงสังคมทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะตัวหรือพรรคพวก, พลังทางสังคม จากการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ก้าวข้ามความแบ่งแยก, พลังทางความรู้ ที่เป็นความจริงและการใช้เหตุผล, พลังทางการคิดเชิงระบบ, พลังทางการจัดการ

ดยสรุปและรูปธรรมในการปฏิบัติ... “เมื่อบ้านเมืองวิกฤติจนไม่มีทางไป คนไทยต้องใช้เป็นโอกาสเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีฉับพลัน”

ผ่านมา 3 ปีแล้ว วันนี้ประเทศไทยกำลังจะมี “รัฐบาลใหม่” อาจารย์หมอประเวศ แนะนำว่ารัฐบาลใหม่ควรทำอะไรเป็นลำดับแรก นั่นก็คือรับฟังข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นของคนทั้งประเทศ ว่า “ประเทศไทย” มีประเด็นใหญ่อะไรบ้าง (Thailand Big Issues) สมมติว่า...เมื่อวิเคราะห์สังเคราะห์แล้วได้ 25 ประเด็น

ถัดมา...หานักวิชาการทางนโยบายที่มีความสามารถสูง มาสังเคราะห์ให้เป็นนโยบายสาธารณะ 25 เรื่อง...สื่อสารนโยบายสาธารณะทั้งหมดทุกเรื่องนี้ให้คนไทยรับรู้อย่างทั่วถึง เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน คนไทยไม่เคยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เมื่อใดมีความมุ่งมั่นร่วมกันก็จะเกิดพลังร่วมประดุจแสงเลเซอร์

จากนั้น...จัดตั้งกลุ่มขับเคลื่อนระบบนโยบายที่มีสมรรถนะสูง 25 กลุ่ม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะทุกเรื่องอย่างเป็นระบบครบวงจรสู่ความสำเร็จ ถ้าครบวงจรก็จะสำเร็จทุกเรื่อง...ไม่มีทางไม่สำเร็จ

จึงเรียกวิธีนี้ว่า “สัมฤทธิศาสตร์”

“เมื่อนโยบายสาธารณะประสบความสำเร็จทุกเรื่อง ประเทศไทยก็จะกลายเป็นแผ่นดินศานติสุขที่มีการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรมและงดงาม...กระบวนการที่กล่าวนี้เรียกว่ากระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม (P4) อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วในหลายๆครั้ง...ที่คนไทยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในเรื่องที่เป็นปัญญาสูงสุด”

“นำชาติไปสู่ความสำเร็จ...มีส่วนร่วมในการได้รับผลสำเร็จอย่างเป็นธรรม จึงเป็นประชาธิปไตยโดยสาระอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงกลไกไปสู่อำนาจ”

ถึงตรงนี้เมื่อคนไทยได้ผ่านการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ความสำเร็จก็จะรักกันมาก เชื่อถือไว้วางใจกัน เกิดปัญญาร่วม และมีความปีติสุขประดุจบรรลุนิพพาน...โลกทัศน์ ความรู้สึกนึกคิด จิตสำนึกใหม่ ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้จะเป็นพลังมหาศาล ไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้อีก

“การเมืองทางสายกลาง”...มีอานิสงส์ถึงเพียงนี้ พลิกโฉมประเทศไทยภายใน 4 ปี ตามวาระของรัฐบาลใหม่.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม