ท่ามกลางรายงานข่าวที่สับสนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และมีแนวโน้มว่าพรรคก้าวไกลขวัญใจของคนรุ่นใหม่ อาจถูกบีบให้ถอนตัวจากรัฐบาล มีรายงานข่าวว่าชาวนาไทยจนที่สุดในเอเชีย และมีต้นทุนการผลิตสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก แต่มีคนบางกลุ่มที่บอกว่าใจเย็นๆ นั่งรอคอยไปแค่ 10 เดือนก็ตั้งรัฐบาลได้
นั่นก็คือการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลังจากที่ สว.ชุดปัจจุบันครบวาระ และพ้นจากตำแหน่ง แต่ปัญหาของประเทศรอไม่ได้ นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ แถลงว่าชาวนาไทยยากจน ทั้งที่ไทยผลิตข้าวสารเป็นอันดับที่ 6 ของโลก มีสัดส่วน 3.9% ของการผลิตข้าวทั่วโลก
แม้คู่แข่งสำคัญคือเวียดนาม จะผลิตข้าวสารได้เป็นอันดับ 5 ของโลก แต่ส่งข้าวออกได้น้อยกว่าไทย ที่ส่งออกได้ 6.7 ล้านตันในปี 2564 แต่ไทยมีผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าเวียดนามถึง 3 เท่า ไทยผลิตข้าวต่อไร่ได้ 450 กก. ส่วนเวียดนามได้กว่า 1,000 กก.ต่อไร่ ในปี 2565 ชาวนา ไทยมีรายได้ 3,900.5 บาทต่อไร่
รายงานข้างต้นมาจากนักวิชาการ ลองมาฟังความเห็นของชาวนากันบ้าง นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่าประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูก 62-63 ล้านไร่ มีชาวนาประมาณ 4.6 ล้านครอบครัว มีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ คือขอให้มีน้ำตลอดปี มีเมล็ดพันธุ์ที่ดี
นายกสมาคมชาวนาฯ เรียกร้องรัฐบาลให้รณรงค์อย่างจริงจัง ในการใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี ที่มีต้นทุนสูงถึง 5,000-5,500 บาทต่อไร่ ทำให้ชาวนาเป็นหนี้ ธ.ก.ส. รัฐไม่ควรใช้วิธีการพยุงราคาเหมือนที่ผ่านๆมา แสดงว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐ ไม่ว่าจะประกันราคาข้าว หรือทุ่มเงินจำนำข้าวจนก่อหนี้นับแสนล้าน
ยังมีรายงานจาก ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 7.7 ล้านล้านบาทของปี 2551 พุ่งขึ้นมาเป็น 10.2 ล้านล้านบาท ในปี 2563 ทำให้คนจนลดลงจาก 65% ของปี 2531 เหลือ 6.3% ในปี 2564 แต่กลับก่อปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
...
ในช่วงสิบปีระหว่างปี 2554 ถึง 2564 สัดส่วนคนจนในสังคมไทยไม่ได้ลดลง ยังคงตัวอยู่ระหว่าง 8-8% โดยเฉพาะเกษตรกร 11% มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน หวังว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ.