“อี้ แทนคุณ” ย้อนถาม “จะให้เลือกตั้งทำไม ถ้าคุณยังถือหุ้นสื่อ” ชี้ “พิธา” ควรโทษตัวเอง หยุดปลุกปั่น-สร้างความแตกแยก หลังชวดนั่งนายกฯ บอกเป็นวิบากกรรม ทำตัวเองล้วนๆ

วันที่ 20 กรกฎาคม 2566 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมรัฐสภาที่ถกกันกว่า 7 ชั่วโมง โดยผลโหวตไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้ง และหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2  รับคดีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องให้วินิจฉัยคุณสมบัติ ส.ส. นั้นเกิดจากเหตุเพราะ นายพิธา ขาดธรรมาภิบาลในตัวเอง เป็นคน “ทุศีล” มีมลทิน รู้ทั้งรู้ว่าห้ามถือหุ้นสื่อ itv ที่ยังคงสถานะความเป็นหุ้นสื่ออยู่ แต่ก็จงใจฝ่าฝืนกฎหมาย หรือเป็นเพราะเชื่อกุนซือด้านกฎหมายคนเดียวกันที่เคยแนะนำ นายธนาธร จนเป็นเหตุให้เจริญรอยตามกันใช่หรือไม่ ทั้งการสิ้นสมาชิกภาพ ถูกตัดสิทธิและถูกดำเนินคดีอาญามาตรา 151 อันเป็นวิบากกรรมที่ นายพิธา ทำตัวเองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับใครคนอื่นเลย หากจะโทษจงโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบพอ และตีความกฎหมายตามใจตนเอง 

ควรหยุดนำมาสร้างวาทกรรมโจมตี ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน เกลียดชังองค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยควรให้สติให้ปัญญาในการเคารพกฎหมาย ไม่ใช่เป็นฝ่ายออกกฎหมายแต่กลับทำลายกฎหมายเสียเอง  

ขอย้ำประเทศไทยเป็น “นิติรัฐ” ไม่ใช่ “นิติด้อมส้ม” มีกฎหมายไม่ใช่กฎหมู่ และประชาชนตาสว่างเยอะแล้วหลังจับโป๊ะเครือข่ายก้าวไกลและพวกใช้ IO หรือปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารคุกคามกระบวนการยุติธรรม ศาล กกต. สว. และคนเห็นต่างแบบล่าแม่มด ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิบากกรรมที่ นายพิธา หลอกตัวเองมาตลอดว่าตนไม่ผิด 

...

“ผมจึงขอเตือนสติ นายพิธา ว่า ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กลับใจสำนึกในความผิดที่ตนก่อไว้ อย่าสร้างกรรมเพิ่ม และสำนึกในบุญคุณประเทศชาติบ้านเมือง ทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพกฎหมาย ไม่ด้อยค่าประเทศ ไม่ด้อยค่าสถาบันหลักของชาติ หยุด “โทษคนอื่น” ให้คนเข้าใจผิดเพื่อสร้างความแตกแยกในสังคม และพิจารณาตนเองว่าคุณทำผิดอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าคุณทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ แล้วจะให้มีเลือกตั้งไปทำไม คุณมีการไปรับรองผู้สมัคร ส.ส.ในฐานะหัวหน้าพรรคทำไม ให้ต้องเสียเวลาสภา 2 วันทำไม และสุดท้ายโทษคนอื่นทำไม ทั้งหมดนี้หากเกิดความเสียหายต่อบ้านเมืองคือต้นทุนที่แท้จริงที่ นายพิธา และพรรคก้าวไกลต้องจ่าย”.