เปิดปากกับภาคภูมิ นักวิชาการร่วมพูดคุย และวิเคราะห์ ปมร้อนศึกชิงเก้าอื้ประธานสภา ของ เพื่อไทย-ก้าวไกล โอกาสจะเป็นของใคร แล้วจะมีผลอย่างไรกับการโหวตนายก และทิศทางการเมืองไทย

วันที่ 28 มิถุนายน 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับ รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และรศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ในประเด็นร้อนศึกชิงเก้าอี้ประธานสภา ที่จะสะท้อนทิศทางการเมืองไทยในอนาคต

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์แย่งตำแหน่งประธานสภา เนื่องจากเป็นหมุดหมายแรก ในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นการอำนวยความสะดวก และไม่อำนวยความสะดวกนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการเมืองที่แบ่งเป็น 2 ขั้วแบบนี้ บทบาทของประธานสภาจะสำคัญมาก เพราะประธานสภาจะมีบทบาทในการบรรจุวาระเสนอกฎหมาย และนโยบายต่างๆ ที่พรรคไปหาเสียงไว้กับประชาชน

ซึ่งครั้งก่อนพรรคก้าวไกล ก็เกิดปัญหาแล้วจากการยื่นเสนอ ม.112 แต่ไม่ถูกบรรจุอยู่ในวาระการเสนอแก้ไข ซึ่งในอดีตมันไม่ค่อยมีปัญหาจากการเลือกประธานสภาเลย ยกเว้นในครั้งที่มีการต่อรองระหว่างพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปปัตย์ ก่อนจะจบลงด้วยชื่อของท่านชวน หลีกภัย แต่ในครั้งนี้ก็จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เป็นปัญหา

...

ด้าน รศ.สุขุม นวลสกุล เผยว่า ถ้ามันเป็นแบบประชาธิปไตยจริงๆ การเลือกนายกฯ ก็คงไม่มีปัญหา แต่คราวนี้ มันมีแปลกตรง 250 เสียงมาโหวตด้วย หากตกลงกันแล้วว่าให้ประธานสภาเป็นเพื่อไทยตามสูตร 14+1 แล้วหากในเลือกนายกฯ พลังประชารัฐเสนอให้พลเองประวิตรเป็นนายกฯ แล้ว ส.ว. 250 เสียงยกโหวตอีก ก็จะทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็เป็นไปได้ และที่คนเพ่งเล็งกันคือ ถ้ามีดีลลับแบบนั้นจริงๆ แม้ตอนนี้ตนก็ยังไม่เชื่อ หากมันเป็นอย่างงั้นจริง ประธานสภาไม่ได้เป็นของก้าวไกล ตำแห่งนายกฯ จะไม่เป็นของพิธาแน่นอน

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย กล่าวเสริมว่า ทุกอย่างมันพลิกได้หมด เพราะโครงสร้างรัฐบาลผสม 8 พรรคของก้าวไกล มันเป็นโครงสร้างของรัฐบาลผสมที่ขาดความสมดุล ก้าวไกล และเพื่อไทย 2 พรรคนี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน แต่เพื่อไทยมีโอกาสทางการเมืองที่มากกว่า ทั้งประสบการณ์ การมีเครือข่ายทางการเมือง ความสัมพันธ์ทางการเมืองที่มากกว่า รวมไปถึงเรื่องการคุยกับ ส.ว. ที่สามารถทำได้มากกว่า

จึงบอกได้เลยว่าเพื่อไทยถือไพ่เหนือกกว่า อย่างสมการ 14+1 หมายความว่า เพื่อไทยต้องการตำแหน่งถึง 15 คน รวมประธานสภาด้วย แต่สมการของก้าวไกล 14+1 ที่รวมนายกฯ ซึ่งอาจจะได้แค่ 14 ก็ได้ เพราะนายกฯ อาจจะไม่ได้ตำแหน่ง แม้ว่าเพื่อไทยจะบอกว่าตอนเลือกนายกฯ จะเทเสียงคืนให้ตอบแทนที่เลือกให้ เพื่อไทยเป็นประธานสภา แต่เสียงของก้าวไกลจะไม่ถึง เพราะ ส.ว.ไม่โหวตให้ไม่ถึง 376 แน่นอน และไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี บางครั้งอาจจะกลายเป็น 0 เลยก็ได้ จนต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน

รศ.สุขุม นวลสกุล เผยต่อว่า ตนก็มองเช่นเดียวกัน หากก้าวไกลให้ตำแหน่งประธานสภาไปแล้ว แต่ตำแหน่งนายกฯ อาจจะไม่ได้ก็เป็นได้ แล้วยังต้องมาระแวงสองต่อว่า หากเพื่อไทยรู้สึกว่าการรวมกับกลุ่มอำนาจเก่าทางการเมืองขั้วเดิม จะมั่นคงและมีโอกาสเป็นจริง มากกว่าอำนาจที่ประชาชนเลือกก็จะเป็นปัญหา เพราะหากเพื่อไทยได้ตำแหน่งประธานสภาไปแล้วจะได้กำไร และมีโอกาสถูกชักชวน จากทั้งสองฝ่ายมากกว่า 

ซึ่งตำแหน่งประธานสภามันสำคัญกับกลุ่ม เพราะการเลือกตั้งมันชัดเจนว่า เป็นการแข่งกัน 2 กลุ่มในเบื้องต้น คือ กลุ่มที่เป็นรัฐบาลอยู่ และกลุ่มที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งประชาชนก็ตัดสินแล้วว่า ต้องการให้กลุ่มที่ไม่เคยเป็นรัฐบาลมาทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งการที่ประชาชนเลือกกว่า 1 คน ก็ถือว่ามากกว่า

ดังนั้นการเป็นประธานสภา ก็ต้องมาจากคนกลุ่มนี้ ซึ่งก้าวไกลในทุกวันนี้ตำแหน่งนายกฯ ก็ยังไม่มั่นใจเลย ว่าจะได้เป็นนายกฯ หรือเปล่า แต่การที่ก้าวไกลได้เป็นประธานสภา ก็เป็นหลักประกันในตอนต้นว่าโอกาสที่เป็นนายกฯ นั้นมากขึ้น เพราะทำให้คนยอมรับแล้วว่า เป็นพรรคอันดับ 1 ที่สามารถคุมสภาได้

ตนมองว่าหากตำแหน่งประธานสภาเข้าฝั่งเพื่อไทยแล้ว ก็ไม่รู้จะได้เลือกนายกฯ หรือเปล่า เพราะประชาชนจะผิดหวังจากผลที่เห็นว่า เพราะส.ส.กลุ่มใหญ่ ไม่ยอมรับเสียงอันดับที่ประชาชนเลือกเข้ามา แสดงให้เห็นว่า ก้าวไกลไม่ได้คุมเสียงข้างมากที่ 1 จริง 

ขณะที่ รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย เผยว่า ประธานสภา คือกล่องพิศวง เป็นการโหวตลับ เหมือนกล่องดำ ไม่รู้ว่าใครโหวตให้ใคร การไปลงคะแนนเสียง ก็เหมือนการกาบัตรเลือกตั้ง โอกาสที่จะพลิกต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งวันนี้เราจับตาการเมืองระหว่างเพื่อไทย และก้าวไกล แต่ไม่ได้จับตาการเมืองในขั้วอำนาจเดิม เพราะเราไม่ได้ยินการเสนอชื่อใครเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจว่า การที่เขาไม่ประกาศมันสะท้อนให้เห็นว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น หรือมีการเมืองที่ซ่อนอยู่ และกำลังขับเคลื่อน 

รศ.สุขุม นวลสกุล กล่าวว่า ตนได้ยินกลุ่มผู้มีอำนาจในพรรคพลังประชารัฐจะ เสนอประธานสภาข้ามขั้วมาที่ทางฝั่งเพื่อไทย ซึ่งการลงแบบนี้ไม่มีใครรู้ว่าจะลงให้ใคร หากในวันโหวตประธานสภาแล้วก้าวไกลไม่ได้ ตนว่าเกมการเมืองถูกมองเปลี่ยนไปเลย อันแรกสุดตนเชื่อว่า พิธาจะไม่ได้เป็นนายกฯ 8 พรรคร่วมแตก เพื่อไทยกับก้าวไกลแยกวง ซึ่งก็มีคนทายไว้ว่า จะไปจับมือกับพลังประชารัฐ

รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย พูดเสริมว่า หากผลโหวตประธานสภา ไม่ใช่พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ขึ้นอยู่ว่าจะบาดเจ็บแบบไหน หากเจ็บแบบแอดมิต คือ เสนอข้ามขั้วให้พล.เอกประวิตรเป็นนายกฯ หรือร่วมรัฐบาลกับรวมไทยสร้างชาติ อันนี้เจ็บตัวหนักแน่นอน ซึ่งในการโหวตเลือกประธานสภา ตามธรรมปฏิบัติ คือให้พรรคอันดับ 1 แต่แน่นอน มันมีเงื่อนไขอื่นด้วย เพราะต้องทำงานร่วมกับคนอื่นด้วยในสภาทั้งฝ่ายร่วมรัฐบาล ฝ่ายค้านและฝ่ายอื่นๆ จึงต้องทำให้เกิดโหวตลับขึ้น แต่มันมีการอาศัยช่องว่างในการโหวตลับนี้ ทำให้กลายเป็นกล่องพิศวง

รศ.สุขุม นวลสกุล เผยต่อว่า หากปล่อยให้เกิดฟรีโหวต ประธานสภาจะไม่ใช่ของก้าวไกล และกลายเป็นของฝ่ายอื่นแน่ๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นของเพื่อไทย และความสัมพันธ์ของทั้ง 8 พรรคก็จะแตก นั่นจะเป็นการเมืองในสภา แต่ในวันนี้การเมืองไม่ได้เล่นกันแค่ 500 คนแล้ว เพราะมีฐานมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ตนจึงรู้สึกว่าการที่พรรคก้าวไกลไปที่ไหน มันเหมือนประชาชนมีส่วนร่วมในทุกๆแห่ง เพราะฉะนั้น ขอให้คำนึกถึงคนเลือกตั้งด้วย เพราะประชาชนจับตาอยู่เสมอว่า การเมืองที่กำลังเป็นอยู่นั้น มันเป็นตามที่เขาเลือกหรือไม่

อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.