เครือข่ายกัญชาฯ เดินสายอีสาน ชาวบ้านแห่ลงนามไม่เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด อื้อ “ประสิทธิ์ชัย” ฟาด “ก้าวไกล” อ้าง กำหนดสถานะกัญชา ต้องรอฟังความเห็นพรรคร่วมฯ ชี้ ไม่เกี่ยวกับนโยบายพรรค แต่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ 

วันที่ 15 มิ.ย. นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย โพสต์เฟซบุ๊ก บอกเล่าถึงการเดินทางไปอีสาน เพื่ออบรมทำยากัญชา รวมถึงร่วมลงนามไม่เอากัญชากลับสู่ยาเสพติด ว่า การเดินทางไปอีสานรอบนี้ เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยยิ่งตระหนักถึงเรื่อง "นิเวศแห่งการรักษาและดูแลสุขภาพ"
เพราะประเทศเรามีภาระด้านสาธารณสุขและจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะปัจจัยกำหนดสุขภาพเป็นพิษ เช่น อาหารที่กิน น้ำที่ดื่ม อากาศที่หายใจ เมื่อสามอย่างนี้เป็นพิษ ในขณะที่มาตรการด้านสาธารณสุขฝากไว้กับ "นิเวศเชิงเดี่ยวแห่งการรักษา" นั่นคือ "การแพทย์สมัยใหม่" แต่ความสมดุลระหว่างการผลิตบุคคลากร ความพร้อมด้านการรักษาของการแพทย์สมัยใหม่ กับ จำนวนผู้ป่วยไม่สัมพันธ์กัน จึงก่อเกิดปัญหาผู้ป่วยล้น บุคคลากรการแพทย์ทำงานหนัก และหากเรายังเดินอยู่บนเส้นทางเชิงเดี่ยวนอกจากแก้ปัญหาสุขภาพไม่ได้แล้ว ตัวระบบเองจะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาต่อเนื่อง

...

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวต่อว่า เราสามารถออกแบบระบบนิเวศแห่งการรักษาใหม่ได้ หากผู้บริหารในระบบสาธารณสุขไม่กอดผลประโยชน์ร่วมกับบริษัทยา ซึ่งมีมูลค่าหลายแสนล้านต่อปี เพราะการส่งเสริมการแพทย์รูปแบบอื่นๆ คือการลดทอนกำไรของการแพทย์สมัยใหม่ คำว่านิเวศแห่งการรักษาเปรียบเสมือนป่าที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ จะให้ความชุ่มชื้น ให้อาหาร ให้น้ำ ให้อากาศ ให้ความรื่นรมย์ แต่ป่าที่เกิดจากการปลูกไม้เชิงเดี่ยวเพียงชนิดเดียวย่อมไม่สามารถให้อาหาร อากาศ น้ำ ความชุ่มชื้น เช่นเดียวกับป่าที่มีระบบนิเวศโดยธรรมชาติ ฉะนั้นการรักษาที่หลากหลายคือการออกแบบที่นำไปสู่การแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขมูลฐาน เพราะสามารถใช้การแพทย์ที่หลากหลายดูแลสภาพการเจ็บป่วยที่หลากหลายได้

“ทุกชุมชนมีศักยภาพในการดูแลรักษาสุขภาพ หากรัฐไม่เหยียบย่ำภูมิปัญญาของท้องถิ่น การเดินทางของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยทำให้เราตระหนักว่า ถ้าประเทศนี้จะรอดจากภาระด้านสาธารณสุข กัญชาคือระบบนิเวศแห่งการรักษาที่สำคัญ พืชกัญชามีคุณสมบัติที่รักษาและสร้างสมดุลของร่างกาย และยังเป็นพืชที่ประชาชนสามารถปลูกและปรุงยาเองได้ โดยเมื่อประชาชนรักษาโรคที่บ้านได้ ย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงขั้นรากฐานของปัญหาสาธารณสุข ทั้งยังจะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ที่ดีตามมา” เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าว

นายประสิทธิ์ชัย กล่าวว่า เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยเชื่อมั่นว่า ชุมชนจะเป็นแหล่งการจัดการระบบสุขภาพที่สำคัญ หากสามารถเสริมศักยภาพด้านการผลิตยา จะทำให้การรักษาสุขภาพเป็นระบบมากขึ้น และควรอย่างยิ่งที่รัฐต้องไม่ลดทอนศักยภาพของชุมชน เครือข่ายจะเดินทางไปเรียนรู้และอบรมการทำยากัญชาให้กับประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เท่าที่จะทำได้ โดยในเดือนกรกฎาคมจะเดินทางไปยังภาคเหนือและภูมิภาคอื่นๆ ในเดือนถัดไป ศูนย์ยากัญชาในระดับชุมชนหากสามารถจัดการให้เกิดขึ้นได้เชื่อมั่นว่าจะสามารถรักษาโรคพื้นฐานและโรคอันตรายให้กับชุมชนได้ โดยไม่ต้องเป็นภาระแก่การแพทย์สมัยใหม่มากเกินไป แต่จะทำเช่นนั้นได้จะต้องกำหนดสถานะของกัญชาให้ถูกต้องชอบธรรม ด้วยการไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด
นอกจากนี้ นายประสิทธิ์ชัย ยังได้กล่าวด้วยว่า เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยมีความกังวลถึงการให้สัมภาษณ์ของตัวแทนพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า พอจัดตั้งรัฐบาลจะออก พ.ร.ก.คุ้มครองกลุ่มผู้ปลูกและผู้ค้า โดยสาระสำคัญของการตรา พ.ร.ก.คือ การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ตรงจุดนี้จะทำให้การฟื้นภูมิปัญญาการรักษาจะหายไปจากสังคมไทยอีกครั้ง ขอเรียนไปยังพรรคก้าวไกลว่า การกำหนดสถานะของกัญชาว่าเป็นยาเสพติดหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นกับนโยบายของพรรคการเมือง แต่ขึ้นกับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ จงหยุดตั้งสติแล้วกลับมาติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการทำลายนิเวศแห่งการรักษาของชุมชน ซึ่งถูกละเมิดสิทธินี้มาไม่ต่ำกว่า 40 ปี

“หากพรรคก้าวไกลและพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันว่า จะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดตามที่ออกมาพูดล่าสุด เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. เท่ากับเป็นการประกาศว่าจะไม่เคารพสิทธิชุมชนด้านการรักษา หากเป็นเช่นนี้ทันทีที่มีรัฐบาล เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยจะประกาศการชุมนุมเพื่อรักษาความมั่นคงทางยาให้กับประชาชนในประเทศ” เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย กล่าวในตอนท้าย...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการเดินทางไปยังอีสานของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยครั้งนี้ได้รับความสนใจจากชาวบ้านอย่างมาก โดยมีแกนนำชาวบ้านจากหลายพื้นที่ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมถึง นายบำรุง คะโยธา อดีตแกนนำคนสำคัญของสมัชชาคนจน ที่ได้ระบุว่า หากประชาชนปลูกกัญชาได้ แล้วบอกว่าคนจะสูบกัญชากันทั้งประเทศ มันเป็นไปไม่ได้ คนส่วนใหญ่เข้าถึงกัญชาทางยา นอกจากนี้ ผู้อาวุโสอีกหลายคนที่อยู่กับกัญชาจะพูดตรงกันเกือบทุกพื้นที่ คือคนส่วนใหญ่ใช้กัญชาทางยา นอกจากนี้ นพ.ปัตพงษ์ จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็มาให้ความรู้เรื่องกัญชา โดยระบุว่า กัญชาอยู่กับชาวบ้านมากกว่าอยู่กับหมอแผนปัจจุบัน คนไทยอย่างน้อย 24.6 ล้านคน จะได้ประโยชน์จากกัญชาในฐานะยารักษาโรค ดังนั้น กัญชาจะเป็นความมั่นคงทางยาของประชาชน ดังนั้น จึงควรฟื้นระบบนิเวศของกัญชาให้กลับคืนมา นอกจากนี้ ทางเครือข่ายฯ จะเดินสายไปยังภาคอื่นๆ ทั่วประเทศต่อไป.