นิทานเรื่องเมืองลับแล...ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบเล่า ไม่ระบุอยู่บ้านเมืองไหน ลีลาเนื้อหาคล้ายกันบ้าง แตกต่างกันบ้าง ตามพื้นที่

เมืองลับแลฉบับแม่ผม...ผัวพาเมียท้องแก่พายเรือกลับบ้าน เมียเจ็บท้องจะคลอด จึงจอดเรือที่บ้านหลังหนึ่งริมแม่น้ำ ที่เห็นไฟวับแวม คนในบ้านมีน้ำใจ ช่วยทำคลอดให้เรียบร้อย

ตอนช่วยประคองลงเรือให้พ่อแม่และลูกอ่อนเดินทางต่อ คนในบ้านตัดกล้วยน้ำว้าใส่ให้เต็มลำเรือ เรือไปเข้าคลองน้ำแห้งขอด ต้องช่วยกันเข็น เห็นกล้วยหนักเรือก็จับโยนทิ้ง เหลือไว้หวีเดียว

กลับถึงบ้าน กล้วยหวีที่เหลือนั้น กลายเป็นทอง

แต่ฉบับมาตรฐาน ดูจะอยู่ที่ เมืองลับแล อุตรดิตถ์ (นิทานพื้นบ้านไทย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ.2536)

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนดีมีศีลธรรม กำลังอยู่ในชายป่า เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกจากป่า ถือใบไม้คนละใบ หญิงสาวเหล่านั้น ซ่อนใบไม้ไว้ในที่แห่งหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าหมู่บ้าน

เมื่อหญิงสาวลับตา ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบใบไม้...มาไว้ใบหนึ่ง แล้วซุ่มรอดู ไม่นานหญิงสาวก็กลับมา เดินเข้าไปหยิบใบไม้ แล้วเดินเข้าป่าหายไปทีละคน

มีเพียงสาวคนสุดท้ายด้อมๆมองๆ ค้นหาใบไม้ ชายหนุ่มแสดงตัว ยื่นใบไม้ให้ อยากรู้บ้านของพวกผู้หญิงเหล่านั้น อยู่ที่ไหน จึงออกไปขอตามไปด้วย

หญิงสาวสนองไมตรี บอกให้ชายหนุ่มเดินตาม ไม่นานก็ถึงหมู่บ้าน ร่มรื่นสงบงาม นี่คือเมืองลับแล แต่ยิ่งเดินๆไป เขาแปลกใจ ไม่พบผู้ชายเลยแม้แต่คนเดียว

“ผู้ชายเคยมี” หญิงสาวบอก “แต่เขาผิดสัญญา จึงอยู่ไม่ได้”

แม่สาวยอมให้ชายหนุ่มอยู่กินกับลูกสาว แต่ขอสัญญา จะไม่โกหก ชายหนุ่มก็รับปาก

...

ปีต่อมาสองสามีภรรยาก็ได้ลูกสาวหนึ่งคน ช่วยกันดูแลประคบประหงมไม่เคยห่าง แต่วันหนึ่งฝ่ายหญิงต้องไปธุระนอกบ้าน ปล่อยให้ฝ่ายชายเลี้ยงลูก

วันนั้นเกิดเหตุอันใดไม่รู้ ลูกร้องไห้งอแง พ่อก็พยายามทุกวิธี จนเหนื่อยเต็มที ลูกก็ไม่หยุดร้อง

นึกขึ้นมาได้... ลูกคงจะคิดถึงแม่ จึงหลุดปากตามความเคยชิน “แม่มาแล้ว นิ่งได้แล้วละลูก”

ภรรยากลับมาถึงบ้าน...แม่ยายฟ้องว่า “สามีเธอโกหก”

นี่คือคำขาด ชายหนุ่มต้องออกจากหมู่บ้าน ภรรยาแม้เสียใจ ตอนเดินไปส่งสามีที่ชายป่า เธอขุดขมิ้นใส่ย่ามจนเต็มย่าม ให้สามีสะพาย แต่หนทางยาวไกล เขาหนักบ่านัก ก็ค่อยๆหยิบทิ้งไปทีละแง่ง จนเหลือไว้แง่งเดียว

นิทานเรื่องเมืองลับแลฉบับนี้ จบลงตรงเมื่อชายหนุ่มถึงบ้าน ล้วงขมิ้นขึ้นมา ขมิ้นเป็นทอง

ราวๆสิบปีที่แล้ว ผมกับคุณสุรจิต ชิรเวทย์ ถูกชวนไปถึงเมืองลับแล...ต้นตำนาน ก็ได้รู้ความจริง

ชื่อจริงเมืองนี้ เดิมทีเรียก “ลับแลง” แลงแปลว่าบ่าย ตะวันลับยอดเขาซึ่งเป็นต้นน้ำ ตั้งแต่ตอนบ่าย

ในหุบเขาตอนที่ผมไป มีทองคำ คือทุเรียนพันธุ์หลิน หลง...ขายดิบขายดี บริเวณที่เป็นหุบเขา ชาวบ้านแบ่งปันกันอยู่อย่างพี่อย่างน้อง ไม่มีกำแพงหรือรั้ว ไม่มีขโมย

แม้ชื่อลับแลง แต่บรรยากาศก็เหมือนเมืองลับแลในนิทาน...

คนโกหก คนขี้ขโมยอยู่ไม่ได้ เคยมีขโมยมาจากต่างถิ่น ชาวบ้านช่วยกันจับมัด ประจานพักใหญ่ ก็ปล่อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ เมืองลับแลเมืองนี้ นักการเมืองที่ถนัดเรื่องโกหกโกไหว้...จึงไม่ควรเฉียดเข้าไปใกล้ ถึงไม่มีแม่ยายไล่ แต่ชาวบ้านเขาไม่ยอม ยังดีที่แค่จับมัดประจาน...ไม่เอาเข้าคุกนะเออ!

กิเลน ประลองเชิง