"อานนท์ นำภา" รู้ทัน เกม กกต.ปักชนักปักหลัง "พิธา" โทษ ม.151 คาดเสียงธรรมชาติรวมตัววันโหวตนายกฯ ขู่ เชื่อ รัฐ ไม่อยากถึงจุดคนออกมาเป็นแสนเป็นล้าน ไร้ความชอบธรรม มั่นใจ บทสรุปจบไม่เหมือนเดิม
วันที่ 10 มิ.ย. 2566 นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและแกนนำราษฎร ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีกระเเสข่าว กกต.ตั้งเเท่นสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตามมาตรา 151 มีโทษหนักติดคุก 1-10 ปี ตัดสิทธิการเมือง 20 ปีนั้น สถานการณ์จะจบอย่างไร พรรคก้าวไกล มี 14 ล้านเสียง ของประชาชนหนุนอยู่ ว่า การที่กกต. นำเรื่องมาสอบเอง โดยปัดตกคำร้องของผู้ร้องต่างๆ มันเป็นการยืดเวลาออกไป คือ ต่อไปนี้ หากนายพิธา ได้เข้าสภาฯ จริง จะมีชนักติดหลัง ซึ่งมีโทษทั้งเรื่องจำคุก และตัดสิทธิ์ทางการเมือง ต่อให้นายพิธา เข้าสภาได้ ก็ต้องระวังชนักที่ติดหลังอยู่ ว่า กกต.จะเล่นงานเมื่อไรก็ได้ ตามกฎหมาย แต่มากกว่านั้นการทำงานที่มันเป็นขั้นเป็นตอนของของชนชั้นนำไทย มีให้เห็นอยู่ หลังจากที่ กกต.ทำเรื่องเอง พอเข้าสภาฯ ปุ๊บ ตามกฎหมายสมาชิกรัฐสภา สามารถยื่นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ถึงคุณสมบัติ ถึงจุดนั้นศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีอำนาจก็มีอำนาจที่สั่งให้นายพิธา หยุด หรือปฏิบัติหน้าที่ต่อก็ได้
นายอานนท์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องข้อกฎหมายคิดว่าหลายอย่างมันถูกกำหนดเป็นขั้นเป็นตอนของมันอยู่ อย่างตอนนี้กรณีของ กกต. ถือว่า ผ่านไปแล้วด่านหนึ่ง ต้องมีการสอบสวน แล้วส่งศาล แต่ด่านต่อไป คือ ทาง ส.ว. และสมาชิกรัฐสภา ที่จะส่งให้มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติ นายพิธา หรือไม่ ซึ่งถ้ากระแสตก ก็อาจจะมีการส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยมีความเป็นไปได้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะหยุดสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่ถ้ากระแสคนยังโอเค และการให้เหตุผลของนายพิธาต่อสาธารณะ ยังน่าเชื่อถืออยู่ เชื่อว่าอำนาจนอกระบบไม่สามารถทำอะไรนายพิธา ได้
...
นายอานนท์ กล่าวว่า แนวโน้มตอนนี้นายพิธา คงได้เข้าสภาฯ อย่างไรก็ตาม เขาคงรอให้ให้กระแสมันต่ำ คงใช้กฎหมายเป็นนิติสงครามเล่นงานนายพิธา แต่เชื่อว่ากระแสมันไม่ต่ำหรอก เพราะคนตามลุ้นคะแนนเสียงของตัวเองอยู่ โดยเฉพาะทางโซเชียลมีเดีย คนที่เลือกนายพิธา มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งต่างจังหวัดและโดยเฉพาะในกทม. เป็นส้ม ปริมณฑลอย่างนนทบุรีก็ส้ม หากชนชั้นนำไทยจะใช้เกมเดิมประชาชนเขาไม่ยอม ไม่จำเป็นต้องมีม็อบที่มีแกนนำ แต่มันจะเป็นไปเองโดยเป็นการออกมาเรียกร้องโดยธรรมชาติ ทางรัฐบาลปัจจุบัน และคนที่ดูเรื่องความมั่นคง คงตระหนักว่า มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดมีการลงถนนชุมนุม เพื่อเรียกร้องให้ให้มันปฏิบัติตามกติกา คือ ส่งพรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้ตั้งรัฐบาล ก็อยู่ที่การพูดคุยกัน โดยท่าทีของ ส.ว. ต่างๆ ดีขึ้น แต่การแสดงออกของประชาชนนอกสภาฯ ทั้งในโซเชียล และที่พร้อมที่จะลงถนน ไปช่วยกันให้กำลังใจในวันที่จะมีการโหวตนายกฯ มันจะเป็นแรงผลักให้ ส.ว. ตระหนักถึงเสียงประชาชน เรื่องการชุมนุมในวันโหวตนายกฯ ไม่ต้องมีใครนัด คือทุกคนก็รู้ว่า ต้องไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว คือถ้า ส.ว.โหวตให้นายพิธาเป็นนายกฯ ก็คงฉลองกัน แต่ถ้าไม่โหวต ก็คงมีการประท้วง คงมีการคาดหมายได้อยู่แล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
เมื่อถามว่า หมายความว่า ต่อไปนี้ถ้านายพิธา เป็นอะไรไป ไม่ว่าจะทางการเมือง หรือกฎหมาย ชาวบ้านจะออกมาแบบธรรมชาติ เหมือนตอนที่ไปเลือกนายพิธา โดยไม่ต้องมีแกนนำม็อบใช่หรือไม่ นายอานนท์ ตอบว่าใช่ อาจจะมีแกนนำต่างๆ ไปเดินโต๋ตี๋อยู่ในม็อบ แต่โดยภาพรวม ชาวบ้านตื่นตัวทางการเมืองสูงมาก เขาไม่ได้เลือกแบบทิ้งขว้าง แต่เลือกโดยเจตจำนง ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เหมือนการพลิกล็อกมาหลายอย่าง ตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง และในกรุงเทพฯ ก็กวาดเกือบหมด คนรู้สึกว่า ความชอบธรรมที่สุดในการรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาล คือ พรรคก้าวไกล ดังนั้น ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา ต่อให้จะอธิบายอย่างไรคนไม่ฟัง เพราะช่วง 10 ถึง 20 ปีมานี้ เห็นนิติสงครามอย่างชัดเจน ประชาชนตอนนี้ทุกคนมีองค์ความรู้ที่เท่าเทียมกัน เพราะโซเชียลมีเดีย เหลืออย่างเดียวตอนนี้คือ เรื่องการแสดงออกในท่าทีของประชาชน เชื่อว่ารัฐเอง ไม่อยากให้มันถึงจุดที่การชุมนุมมันออกมากันเป็นแสนเป็นล้านคน การพูดคุยกันตอนนี้สำคัญที่สุดและพยายามอย่านำสังคมเข้าไป สู่บรรยากาศที่มันอึมครึ้มที่สุ่มเสี่ยงจะใช้ความรุนแรงต่อกัน อย่าลืมว่าในแง่ของความชอบธรรมมาทางพรรคก้าวไกลร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับคนที่เบื่อรัฐบาลประยุทธ์ ที่ต้องการจะเอารัฐบาลประยุทธ์ออกมัน ก็ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ดังนั้น การปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ก็คือพรรคที่ชนะการเลือกตั้งได้จัดตั้งรัฐบาล และบริหารประเทศนี่คือสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น
"ผมคาดเดาได้เลยว่า มันจะไม่จบเหมือนเดิม ตอนนี้หลายคนบอกว่า ถ้าลงถนนปุ๊บ ทหาร ตำรวจก็อาจจะออกมาปราบม็อบ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ คนที่มันจะลงถนนคือคนชั้นกลาง นักศึกษา นักเรียน คือคนจำนวนมากทั้งชาวบ้านเอง ก็จะมาแจมด้วย คนมันมากเกินกว่าที่รัฐจะจัดการด้วยวิธีความรุนแรงได้ แต่การแสดงออกมันต้องยึดแนวทางสันติวิธีซึ่งหลายคนก็ประเมินว่า ถ้ารัฐออกมาแล้วมีความรุนแรงปุ๊บ ทหารจะออกมา แต่ต้นคิดว่าไอ้ความชอบธรรมที่ทหารจะออกมามันไม่มีเลยนะ วันนี้ต่างชาติโดยเฉพาะชาติที่เป็น อียูสหรัฐอเมริกา หรือชาติเป็นประชาธิปไตย ไม่โอเคกับการรัฐประหาร แล้วคนที่จะออกมาครั้งนี้มันจะไม่เหมือนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ผมคิดว่า ผู้มีอำนาจต้องยอมรับความจริง สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว ต้องยอมเล่นในเกมประชาธิปไตย คือผู้ที่ชนะการเลือกตั้งให้จัดตั้งรัฐบาลไป แล้วค่อยๆ คุยกัน แต่อย่าคิดว่า จะใช้วิธีเดิมๆ ได้ เพราะตอนนี้ คนมันไม่ยอมแล้ว ยกตัวอย่างเมื่อช่วงปี 2563 รัฐมองว่า จับแกนนำไปติดคุก ม็อบก็จะหมดทีนี้ไม่ใช่ จะเกิดม็อบ"ออร์เเกนิก" ซึ่งคุมยากกว่าเดิมอีก คือ ตอนนี้จะไม่ใช่ม็อบแค่ในกรุงเทพฯ แต่จะเกิดในจังหวัดที่เขาเลือกพรรคก้าวไกล หรือกลุ่มเสื้อแดงเดิม ที่เขาเลือกเพื่อไทย ที่ตอนนี้กำลังจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล ผมคิดว่า มันพร้อมที่จะมีการแสดงออกทางการเมืองอย่างแน่นอนซึ่งคิดว่า รัฐไม่สามารถดูแลได้ทั้งหมด" นายอานนท์ กล่าว...