“วิโรจน์” พร้อมประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกฯหอบข้อมูลส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกให้ “จเรหิน” พร้อมคาดหวังการค้าสำนวนกลั่นแกล้งผู้ประกอบการสุจริตจะหมดหรือทุเลาลง แฉผู้ประกอบการรถบรรทุกอีก 2 ใน 3 หรือประมาณ 1 ล้านคันที่ไม่ได้อยู่ในสหพันธ์ฯตกอยู่ในภาวะจำยอม เหตุธุรกิจแข่งขันกันสูงจำเป็นต้องบรรทุกเกิน เป็นที่มาของสติกเกอร์จ่ายส่วย ด้าน “จเรหิน” รับจะเร่งสอบสวนให้เสร็จสิ้นในกรอบ 15 วัน ขณะที่ตำรวจทางหลวงข่ายถูกเชือดจากพิษส่วย เป็นระดับหัวหน้าตู้ทางหลวงยันรอง ผกก. ส่วนเรื่องรถน้ำมันเถื่อน “โฆษกสรรพสามิต” เผยตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว 13 มิ.ย.นี้รู้ผล บิ๊กคนไหนโทร.ขอให้ปล่อย “อัจฉริยะ” ปูดชื่อ “รองยุทธ” คนโทร.เคลียร์
กรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแฉเรื่องส่วยสติกเกอร์รถบรรทุก ส่งผลให้ พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. ถูกย้ายเข้า ศปก.บช.ก. เปิดทางให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. มือปราบคอร์รัปชันเข้ามารักษาราชการ ผบก.ทล.แทน พร้อมๆกับที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มอบหมาย พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง นัดหมายนายวิโรจน์และตัวแทนสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เข้าให้ข้อมูลตามที่เสนอข่าวไปนั้น
“วิโรจน์” หอบข้อมูลให้ “จเรหิน”
ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย นำเอกสารหลักฐานที่สมาพันธ์ขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย มอบให้กับพรรคก้าวไกล ส่งต่อให้พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จตช. เพื่อตรวจสอบกรณีส่วยทางหลวง เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
...
คาดหวังปัญหาเรียกรับทุเลา
นายวิโรจน์กล่าวว่า เอกสารที่รวบรวมมาวันนี้ มีข้อมูลเบาะแสเบื้องต้นที่รวบรวมจากพลเมืองดี ร่วมกับสหพันธ์การขนส่งฯรวบรวมมาด้วย การพูดคุยครั้งนี้ได้รับการประสานงานที่ดีจากจเรตำรวจแห่งชาติและตำรวจสอบสวนกลาง ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเบาะแสปลายทาง การสอบสวนขยายผลต้องให้ตำรวจดำเนินการ เชื่อว่าทำได้ดีกว่า และตำรวจคงมีข้อมูลไปไกลแล้ว แต่วันนี้นำข้อมูลมาให้เพื่อทบทวนข้อมูลว่าครบถ้วนตรงกันหรือไม่ หวังว่าการหาผลประโยชน์หรือเรียกรับผลประโยชน์ การรังควานกลั่นแกล้งผู้ประกอบการที่สุจริตจะต้องทุเลาเบาบางหรือหมดไป หวังว่านอกจากส่วยสติกเกอร์แล้ว ปัญหาเรียกรับผลประโยชน์อื่นๆ เช่น โรงโม่หิน บ่อดิน บ่อทราย ผู้ค้าขายหินทราย สนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดี และยึดใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)
อัด พงส.บางคนค้าสำนวน
นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า การค้าสำนวนของพนักงานสอบสวนบางคนที่ทำสำนวนเรียกรับผลประโยชน์ เช่น รถบรรทุกบางคันบรรทุกน้ำหนักเกินเพียง 100-200 กก. วิญญูชนทั่วไปคงเข้าใจได้ไม่มีเจตนาทำผิดกฎหมาย เพราะน้ำหนักจะเกินแต่ละครั้งต้องเกินเป็นตัน แต่พนักงานสอบสวนบางคนเอาส่วนนี้ใส่ไว้ในสำนวนเพื่อเรียกรับผลประโยชน์ และสร้างสัญญาเช่าเท็จจากคนขับรถเปลี่ยนเป็นคนเช่ารถให้รถไม่ต้องถูกยึด
ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะจำยอม
ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลกล่าวต่อว่า ไม่เพียงแค่ตำรวจ แต่เรื่องนี้ยังพัวพันไปถึงอัยการบางคน เช่น การที่คดีความไปถึงศาลชั้นต้น พิพากษาโทษปรับ อัยการยังยื่นอุทธรณ์เพื่อให้รถโดนยึด กลับกัน บางกลุ่มบรรทุกเกินเป็นตันก็มีอภินิหารให้โดนเพียงลหุโทษได้ รถคันหนึ่งราคา 3-4 ล้าน หากโดนยึดเพราะบรรทุกน้ำหนักเกินเพียงไม่กี่กิโลกรัมอาจไม่เป็นธรรม อาจต้องไปตรวจสอบกฎหมายและแก้ไขอีกครั้งหนึ่ง แต่จะเหมารวมผู้ประกอบการว่าทำผิดกฎหมายทั้งหมดไม่ได้ เพราะหลายคนก็อยู่ในภาวะจำยอมต่อสภาพเพราะมีระบบแบบนี้เกิดขึ้น
“อภิชาติ” ยันระบบส่วยฝังรากลึก
ขณะที่นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอเรียนตรงๆว่าเป้าหมายของกลุ่มสหพันธ์ได้ร่วมกันลงนามทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ไว้แล้วว่าจะไม่ทำผิด กฎหมาย ถ้าพบว่าสมาชิกรายใดที่ทำผิดตามที่ได้ทำ MOU กันไว้ จะขับไล่ออกจากองค์กร ต้องเข้าใจว่าระบบส่วยตรงนี้มันฝังรากลึกมานาน เพราะฉะนั้นการที่จะไปเหมารวมว่าทุกคนกระทำความผิดจะต้องไปตรวจสอบ วันนี้มาพบ จตช.เพื่อจะให้ลงไปตรวจสอบว่าตรงกับข้อมูลทางสหพันธ์ และนายวิโรจน์หรือไม่ หรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดพลาดไป ยืนยันไม่มีนัยใดๆ ตรวจสอบได้ เพราะเราเป็นองค์กรกลางต่อสู้มามากกว่า 20 ปีแล้ว
ได้ไม่ได้อยู่ที่ความจริงใจคนแก้
นายอภิชาติกล่าวต่อว่า ส่วนจะแก้ปัญหาเรื่องส่วยให้น้อยลงได้หรือไม่ อยู่ที่คนที่จะแก้ปัญหามีความจริงใจแก้ปัญหาจริงๆหรือไม่ หวังอย่างยิ่งว่าทางจเรตำรวจ ในอดีตไม่มีการแถลงข่าว หรือมารับเรื่องอย่างนี้ คิดว่าในฐานะที่ท่านมีที่ปรึกษาและคนที่อยู่ในวงการตำรวจพอจะทราบว่าจุดไหนที่มีปัญหา ท่านรับปากแล้วว่าจะลงไปแก้ไข ส่วนใดที่ท่านอยากจะได้ข้อมูลหรือลงสถานที่ไปดูก็จะมีเจ้าหน้าที่พาไปดู
เหตุแข่งขันสูงต้องจ่ายค่า นน.เกิน
ส่วนกรณีจับรถบรรทุกน้ำมัน เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. เกี่ยวข้องกับสหพันธ์หรือไม่ นายอภิชาติกล่าวว่า กรณีนี้ไม่เกี่ยว อยากจะชี้แจงว่ารถทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทยมีทั้งหมด 1,500,000 คัน สมาชิกที่อยู่ในสหพันธ์มีอยู่กว่า 400,000 กว่าคัน เทียบได้เป็น 1 ใน 3 อีก 1 ล้านคัน ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มไม่สามารถที่จะไปดึงเข้ามาได้ อยู่ที่เขาจะต้องพิสูจน์เองว่าผลงานสหพันธ์ที่แล้วมามีประโยชน์กับเขาหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียนมีทั้งข้อดีและข้อเสียของการที่ทำถูกกฎหมายและข้อเสียที่ทำผิดกฎหมายได้เผยแพร่ไปทางเพจเฟซบุ๊กของสหพันธ์อยู่แล้ว เรามี MOU ว่าจะต้องอยู่ภายใต้ของกฎหมายคือเงื่อนไข เพราะบางบริษัทหรือบางหน่วยงานต่างๆต้องไปเคลียร์เพื่อจะแข่งขันกันโดยอาศัยบรรทุกน้ำหนักเกิน นี่คือปัญหา ถ้าเจ้าหน้าที่ทำงานจริงจัง คิดว่าผู้ประกอบการบางท่านที่หลงผิดไปจะต้องพิสูจน์เอง เรามีการตรวจสอบเป็นขั้นเป็นตอน ยืนยันว่าเราตรวจสอบได้ และการทำงานของสหพันธ์ที่แล้วมาก็ชัดเจนมาตลอด
“วิโรจน์” ย้ำหลายคนจำยอมจ่าย
ด้านนายวิโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ยืนยันว่าข้อมูลที่นำมาส่งวันนี้ได้มอบให้จเรตำรวจแห่งชาติครบถ้วน ส่วนสหพันธ์ที่ได้ทำงานกับก้าวไกลต้องยอมรับว่าเรายินดีที่จะทำงานร่วมกับผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกอื่นๆ จะไปเหมารวมผู้ประกอบการรถบรรทุกว่าทำผิดกฎหมายไม่ได้ ดังนั้น การจะมาเข้าร่วมสหพันธ์ใดๆเป็นเรื่องของความสมัครใจ ดังนั้น จะไปบอกว่าคนที่ติดสติกเกอร์เป็นคนทำผิดกฎหมายหรือเป็นคนที่ไม่ดีไม่ได้ ตนว่ามันไม่แฟร์ เพราะเป็นระบบแบบนี้ หลายคนต้องจำยอมหรือยอมจำนนกับสภาพ วันนี้เราพยายามทำทุกอย่างให้โปร่งใสร่วมกัน
“จเรหิน” รับตรวจสอบในกรอบ 15 วัน
ด้าน พล.ต.อ.วิสนุกล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากทางนายวิโรจน์และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศ ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้จเรตำรวจและ บช.ก.ลงมาดู วันนี้ได้รับข้อมูลทั้งหมดจะไปตรวจสอบดูว่าเกี่ยวข้องพาดพิงถึงใครบ้าง ยืนยันว่าทางตำรวจโดย ผบ.ตร.กำชับมาว่า ใครที่กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นตำรวจทางหลวง หรือตำรวจอื่นใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด ไม่ได้ตรวจสอบเฉพาะตำรวจ หากตรวจสอบพบพัวพันพาดพิงถึงใครจะดำเนินการทั้งหมด หลังจากนี้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาจะนำข้อมูลที่ทางนายวิโรจน์นำมามอบให้มาตรวจสอบดูทั้งหมด ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้รวดเร็วและดีที่สุด ทั้งนี้ จะทำงานให้อยู่ในกรอบระยะเวลา 15 วัน
“บิ๊กก้อง” สั่งกู้ศักดิ์ศรี ตร.ทางหลวง
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเวลา 16.00 น. ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล. กล่าวถึงความคืบหน้าการสืบสวนคดีส่วยสติกเกอร์รถบรรทุกตำรวจทางหลวง ว่า วันนี้ประชุมร่วมกับ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ท.จิรภพได้กำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา กอบกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจทางหลวงคืนมา และได้กำชับให้เร่งดำเนินการทางปกครองกับตำรวจทางหลวงที่เข้าไปเกี่ยวข้อง จากพยานหลักฐาน รวมทั้งการสืบสวนทางลับ และข้อมูลพาดพิงที่ได้รับจากผู้ประกอบการ คาดว่ามีตำรวจที่เกี่ยวข้องพัวพันส่วยสติกเกอร์อยู่ 35-40 นาย ตั้งแต่ระดับชั้นประทวนไปจนถึงระดับชั้นสัญญาบัตร ในวันพรุ่งนี้จะเซ็นคำสั่งให้มาช่วยราชการ ที่ ศปก.บก.ทล.อย่างเป็นทางการ ยืนยันไม่มีการช่วยเหลือ ดำเนินการตรงไปตรงมา ตามหลักฐานข้อเท็จจริง เพราะถึงเวลาแล้วที่ตำรวจทางหลวงจะต้องปัดกวาดบ้านตัวเอง
ดาบแรกเชือดชั้นประทวน-รอง ผกก.
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับคำสั่งตำรวจที่จะถูกสั่งให้มาช่วยราชการในวันพรุ่งนี้ มีตั้งแต่ระดับชั้นประทวนและรองสารวัตร ที่เป็นหัวหน้าตู้ทางหลวงตามสถานีต่างๆในสังกัดตำรวจทางหลวง หลังตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่ามีส่วนพัวพันกับส่วยสติกเกอร์และการเรียกรับ ส่วนระดับชั้นสูงสุดที่จะโดนด้วยคือยศรองผู้กำกับการ
สรรพสามิตแจงรถน้ำมันเถื่อน
วันเดียวกัน นายเกรียงไกร พัฒนาภรณ์ รอง อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบน้ำมันดีเซลของกลาง หลังจากกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่สรรพสามิตประจวบคีรีขันธ์ จับกุมนายสมบัติ อายุ 47 ปี ผู้ขับรถบรรทุกน้ำมันดีเซล ได้ที่ริมถนนเพชรเกษม ทล.4 กม.308 ขาเข้า ต.เกาะหลัก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผลการตรวจสอบน้ำมันดีเซล 15,000 ลิตร ไม่มีหลักฐานการเสียภาษีสรรพสามิต เป็นการครอบครองสินค้าที่ยังไม่ได้มีการเสียภาษีสรรพสามิต ถือว่าเป็นน้ำมันเถื่อน ดังนั้น กรมสรรพสามิตจะดำเนินการตามมาตรา 203 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีโทษปรับสูงสุด 10 เท่าต่อไป
13 มิ.ย.รู้เรื่องใครคนโทร.เคลียร์
นายเกรียงไกรกล่าวต่อว่า ประเด็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตโทรศัพท์มาเจรจาให้ปล่อยรถน้ำมันเถื่อนนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะใช้เวลาในการดำเนินการสอบข้อเท็จจริง 5 วัน หรือภายในวันที่ 13 มิ.ย. จะได้รับทราบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และเพื่อประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้สามารถนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว กรมสรรพสามิต ได้ประสานงานไปยังกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ถึงที่สุด และหากมีข้อมูลชี้ถึงผู้บริหารระดับสูง กรมพร้อมนำข้อมูลหลักฐานดังกล่าวมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามระเบียบวินัยราชการโดยไม่มีข้อยกเว้น
“กรมสรรพสามิตจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในทุกระดับ และจะนำข้อมูลที่ได้รับไปรวบรวมและวิเคราะห์เพื่อหามาตรการขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงรุกให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และยับยั้งปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นต่อไป”
เปิดชื่อ “บิ๊ก” กรมสรรพสามิต
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 8 มิ.ย. ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.รรท.ผบก.ทล. ให้เร่งขยายผลตรวจสอบเครือข่ายการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนที่เพิ่งจับกุมได้ใน จ.ประจวบคีรีขันธ์ก่อนหน้านี้ หลังพบมีบุคคลแอบอ้างตัวเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพสามิต โทรศัพท์เจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อขอไม่ให้จับกุมรถคันดังกล่าว นายอัจฉริยะกล่าวว่า ได้รับหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นข้าราชการระดับสูง ที่มีชื่อเล่นว่า “ยุทธ” สำหรับรถน้ำมันคันนี้เป็นของเจ้หมง ลอบน้ำมันเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย 4 หมื่นลิตร ผ่านด่านที่ จ.สงขลา มีเจ๊อ้น เป็นผู้ที่อยู่ในเครือข่ายลักลอบขนส่งน้ำมันเถื่อนคอยอำนวยความสะดวกให้ มีจุดหมายปลายทางไปส่งน้ำมันให้เจ๊บีมที่ จ.ปทุมธานี เจ๊บีมคือคนสนิท “รองยุทธ” ผู้บริหารระดับสูง
ปูดข่าวรถน้ำมันเถื่อนล่องหน
นายอัจฉริยะกล่าวต่อว่า วันเกิดเหตุตำรวจทางหลวงเข้าจับกุมและพบความผิดปกติ แต่ตำรวจทางหลวงไม่มีความรู้เรื่องน้ำมัน ได้เชิญเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ร่วมเข้าตรวจสอบ เมื่อรองยุทธรู้ว่ารถถูกจับกุมได้โทร.หาฝ่ายปราบปรามของกรมสรรพสามิตส่วนกลาง มีการให้โทร.ไปเคลียร์ แต่เจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่บอกว่าไม่สามารถทำได้ เพราะหน่วยที่จับกุมคือตำรวจทางหลวงคนหนึ่ง ได้โทร.หาตำรวจจับกุม แต่ไม่สามารถเคลียร์ได้จึงถูกจับกุมและนำรถขนน้ำมันคันดังกล่าวไปไว้ที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ปรากฏว่าล่าสุดรถน้ำมันคันดังกล่าวได้หายไปแล้ว ได้ประสานไปยังอธิบดีกรมสรรพสามิตให้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว